บันทึกน้ำใจหลากหลายหยด....ที่งดงาม
เรื่องของน้องอี๊ด
น้องอี๊ดเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ ท่าทางห้าวหาญทีเดียวเชียวแหละ บุคคลิกช่างละม้ายคล้ายคลึงเหมือนพี่แอ๊ดคาราบาววัยหนุ่มนักแล น้องอี๊ดมาอาสาขับรถไปส่งให้ที่บ้านน้ำเค็ม เมื่อครั้งนำเงินและของจากโรงเรียนลิซซี่ไปบริจาคในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยไม่ได้คิดกำรี้กำไรในการให้บริการเท่าไหร่นัก ประมาณว่าขอไปทำบุญด้วยคน เนื่องจากน้องอี๊ดเคยเป็นอาสาสมัครไปช่วยค้นหาศพและช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิมาก่อน และตั้งใจอยากจะกลับไปเยี่ยมผู้คนที่นั่นอีกครั้ง
น้องอี๊ดเล่าว่าเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ เพิ่งมาสอบใบอนุญาตเป็นไกด์ได้ที่ภูเก็ต ตั้งใจว่าจะไปประกอบกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์
ตลอดการเดินทาง เราแลกเปลี่ยนความคิดส่วนตัวกันมากมาย แทบจะเรียกได้ว่า เม้าท์มันส์บันเทิงกันไปทีเดียวน้องอี๊ดมีมุมมองและจรรยาบรรณกับงานบริการด้านการท่องเที่ยว ว่า ไม่โกง ไม่โก่ง(ราคา) ไม่กร่าง กับนักท่องเที่ยว
เค้าบอกว่า ก่อนมาสอบไกด์ที่ภูเก็ต เค้าขับรถส่งฝรั่งอยู่ที่สุราษฎร์ และค่อนข้างเป็นแกะดำของเพื่อนร่วมอาชีพ เนื่องจากชอบแถมให้ฝรั่งอยู่เสมอ เช่นฝรั่งจะไปเที่ยวเขื่อน น้องแกก็จะแถมบ่อน้ำพุร้อนระหว่างทางให้ โดยจะถามความสมัครใจนักท่องเที่ยวก่อน น้องอี๊ดถือว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงหากจะแนะนำที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้ชาวต่างชาติได้เห็นและประทับใจ เพื่อจะได้บอกต่อหรือกลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกครั้ง
และอีกข้อในการเป็นแกะดำก็คือ มักจะออกอาละวาดผู้ชอบหลอกหลวงนักท่องเที่ยว เช่นโก่งราคา หรือ เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เรื่องนี้น้องอี๊ดบอกเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อยากให้เพื่อนร่วมอาชีพทำ เค้าบอกมันก็ได้แค่ครั้งเดียว สู้ทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจแล้วกลับมาใช้บริการอีกจะดีกว่า ดิฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่า น้องอี๊ดมีโปสการ์ดมากมายจากชาวต่างชาติแปะอยู่บนกระจกหลังรถ เกือบทุกข้อความเป็นการแสดงความขอบคุณและความประทับใจต่อบริการและยืนยันว่าหากกลับมาประเทศไทย จะติดต่อมาหาน้องอี๊ดอีก และหลายๆคนก็แทบจะกลายมาเป็นเพื่อนกับน้องอี๊ดเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ดิฉันค่อนข้างประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ น้องอี๊ดเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติตัวยงคนนึง เค้าถือคติว่าเค้าหากินกับธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเค้าจะไม่ทำลายธรรมชาติ น้องอี๊ดพาฝรั่งเที่ยวแบบดูแลธรรมชาติสุดฤทธิ์ เค้าจะคอยบอกนักท่องเที่ยวว่ากรุณาอย่าทำร้ายธรรมชาติและแนะนำการชื่นชมธรรมชาติแบบถูกวิธี ในแหล่งธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเล หรือป่าเขา ซึ่งดิฉันและลิซซี่ก็พลอยได้ความรู้จากน้องอี๊ดในเรื่องการเที่ยวแบบรักษาธรรมชาติไปด้วย (ว่างๆ ก็ว่าจะบันทึกเก็บไว้ เป็นความรู้ที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย)
มีเรื่องเด็ดที่น้องอี๊ดเล่าให้ฟังว่า น้องเค้าผ่านไปแถวริมคลองที่เคยสะอาดสวยงามในอดีต แต่เนื่องจากความเจริญเข้ามาอย่างรวดเร็ว คลองสายนี้จึงเริ่มแปรสภาพ น้องอี๊ดค่อนข้างเสียดาย ก็คอยไปเตือนๆ ชาวบ้านที่ชอบทิ้งขยะลงคลองว่า อย่าได้ทำอย่างนั้นเลย ให้ช่วยกันรักษาสภาพคลองให้ดีขึ้น ปรากฎว่าพวกชาวบ้านบางคนออกมาตะโกนด่าและถามน้องอี๊ดว่า "เฮ้ย นี่คลองมึงเหรอวะ" น้องอี๊ดก็ตะโกนกลับไปว่า "เออ คลองกู แล้วก็คลองพวกมึงด้วย" แล้วก็วิ่งปรู๊ดขึ้นรถขับออกไปอย่างกับจรวด เพราะว่าพวกเค้ามีกันหลายคน โถ เราก็นึกว่าแน่ ลุ้นซะแทบตาย แต่ก็ดีแล้วค่ะ ขืนน้องเค้าอยู่ต่อ นักอนุรักษ์ธรรมชาติคนนี้อาจต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มก็เป็นได้
น้ำใจ(ครอบครัวจอห์นสัน)สู้ภัยสึนามิ
เมื่อครั้งที่ดิฉันนำเงิน และสิ่งของไปบริจาคที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม คุณครููใหญ่ได้แนะนำให้ดิฉันรู้จักกับ มิสเตอร์เดวิด(David) และ มิสซิสทาเบีย(Tabea) สามีภรรยาชาวนิวยอร์ค พร้อมกับบุตรสาวอีกสามคน น้องโจแอนน์(Joann) น้องอลิซา(Eliza) และน้องเรีย(Rea) ทั้งครอบครัวได้เดินทางมายังบ้านน้ำเค็มตั้งแต่หลังเกิดเหตุใหม่ๆ ได้ไม่กี่เดือน เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็กๆ และช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ และ ศิลปะ ให้เด็กๆ ด้วย
ดิฉันได้พููดคุยและสอบถามว่า ทำไมทั้งครอบครัวถึงตัดสินใจลงมาเป็นอาสาสมัครที่นี่ ....มิสเตอร์เดวิดก็บอกว่า แรงบันดาลใจที่ลงมาที่นี่ ก็เพราะเพืื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เผชิญกับภัยสึนามินั้น กลับไปเล่าเหตุการณ์อันน่าสลดหดหู่ให้พวกเขาฟัง และได้ดููข่าวสารผ่านทางทีวี ภาพที่ถ่ายทอดออกมาจากข่าวทุกสื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ ทำให้พวกเขานั่งอยู่เฉยๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุทำให้ดิฉันได้พบเจอกับครอบครัวแสนน่ารักครอบครัวนี้ที่บ้านน้ำเค็ม
ลูกสาวสามคนของเดวิดนั้นดููจะดีใจกับกองหนังสือที่ดิฉันนำมาจากอังกฤษเป็นยิ่งนัก เธอทั้งสามคนบอกว่า กำลังต้องการหนังสือสวยๆ ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ประกอบการสอนอยู่พอดี ถ้าหากดิฉันไม่นำมาบริจาค พวกเธอก็ตั้งใจว่าจะทำการ์ดส่งไปขายให้เพื่อนฝููง ญาติพี่น้องที่อเมริกา เพื่อหาเงินทุนมาซื้อหนังสือ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ดิฉันปลื้มใจกับกองหนังสือที่แบกมาหนักจากอังกฤษ เพราะมันมีค่ากับใครต่อใครที่นี่มากมายนัก
ส่วนมิสเตอร์เดวิดและมิสซิสทาเบีย ก็มาขอให้ลิซซี่ไปเป็นเครื่องมือการเรียนการสอนแป๊บนึง ด้วยเหตุผลที่ว่า ลิซซี่พููดภาษาไทยได้ จึงให้ลิซซี่ไปพููดคุยกับเด็กๆ เป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทย เพื่อให้เด็กๆ กล้าแสดงออกด้านภาษากันบ้าง เนื่องจากโดยปกติเด็กๆ จะอายคุณครููฝรั่งกันเป็นอย่างมาก แต่พอเจอลิซซี่ที่พููดไทยได้ แล้วยังแถมสำเนียงภาคใต้ทองแด๊ง ทองแดง เข้าไปอีก บรรยากาศการเรียนการสอนเลยผ่อนคลาย และ ได้ฮาได้ครึกครื้นกันเล็กน้อยก่อนเข้าห้องประชุม จนเดวิดและทาเบียพููดจาล้อเล่นกับดิฉันว่าจะขอลิซซี่ไว้เป็นผู้ช่วยครููที่นี่(เกือบให้แล้วค่ะ พอดีกลัวหาว่าเป็นแม่ใจร้าย)
เดวิดกับทาเบียนั้น สนใจเรื่องการศึกษาของเด็กไทยเป็นอย่างมาก ดิฉันพููดคุยเรื่องความด้อยโอกาสของเด็กไทยที่นี่ให้พวกเขาฟัง มิใช่ว่าจะเอาประเทศไปประจานนะคะ แต่อยากให้เขารับรู้ข้อมููลเพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะได้ทุ่มเท และพร้อมที่จะเติมเต็มให้เด็กๆ เหล่านี้ แม้อาจจะไม่ได้เท่าเด็กๆ ที่มีสตางค์ในเมืองกรุงก็ตาม แต่ดิฉันก็คิดว่าดีกว่าไม่มีพวกเขาเอาซะเลย.... พวกเขา ซึ่งเสียสละความสุขสบายในมหานครนิวยอร์คมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และ งานศิลปะแก่เด็กๆ แล้วแถมยังช่วยเหลือฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็กๆ ที่นี่อีกด้วย
ในบันทึกนี้ ดิฉันใคร่ขอขอขอบคุณในน้ำใจอันยิ่งใหญ่(สำหรับดิฉัน และหวังว่าจะยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยใจดีแถวนี้อีกหลายๆ คน)ของครอบครัว จอห์นสัน อันได้แก่ มิสเตอร์ เดวิด มิสซิส ทาเบีย และน้องๆ ทั้งสาม คือ น้องโจแอนน์ น้องอลิซา และน้องเรีย มา ณ ตรงนี้ด้วย
และฝากความดีของท่านเหล่านี้ผ่านบลอกน้ำใจไปยังคนไทยทุกคน ให้ได้รับทราบและชื่นชมด้วยนะคะ
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
อีกหนึ่งหยาด หนึ่งหยดของน้ำใจ ที่จะยังรินไหล รดลงไป ในใจอันร้าวราน
Nataya, Hello!
How are you?We are still in *BNK. We will visit the USA next week with 4 of the orphans and Nanthana, the assistant director. Then we are coming back for another year. Make sure to get ahold of The Wave of Destruction by Erich Krauss. It is about our town and the tsunami. Looking forward to hearing from you again or seeing you here.
David and Tabea
*BNK=BAN NAM KEM
ในบันทึกตอนที่แล้วได้มีการแนะนำครอบครัวจอห์นสันที่ไปปักหลักปักฐานช่วยสอนหนังสือและทำการฟื้นฟููสภาพจิตใจเด็ำกๆ จากภัยสึนามิที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็มไปแล้ว จริงๆ มีเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆที่ถููกบันทึกผ่านอีเมล์จากครอบครัวจอห์นสันมากมาย แต่เมื่อวานนี้มีอีเมล์ล่าสุดที่ถููกส่งมาจากครอบครัวจอห์นสัน ดููน่าจะเป็นเรื่องของข่าวดีให้พวกเราได้ชื่นใจบ้างพอสมควร ดังนั้นดิฉันจึงขอนำอีเมล์ฉบับดังกล่าวมาบันทึกไว้ในบ้านน้ำใจ ให้ได้รับรู้รับทราบร่วมกัน ณ ตรงนี้ด้วยนะคะ
ข่าวดีจากอีเมล์ข้างบน
ครอบครัวเดวิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่อเมริกา และจะได้นำน้องๆ เด็กกำพร้าสึนามิทั้งหมดสี่คนไปเที่ยวทัศนศึกษาที่นั่น พร้อมผู้ช่วยครููใหญ่ อาจารย์นันทนา... ดีใจที่น้องๆได้มีโอกาสบางอย่างในชีวิต อย่างน้อยก็อาจจะได้เติมแม้จะไม่เต็ม ในส่วนที่ขาดหายไปจากภัยสึนามิ ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพ และสนุกไปกับทริปนี้ ดิฉันจะติดต่อเดวิดขอให้ถ่ายรูปและเล่าเรื่องราวของน้องๆ ในอเมริกา ให้พวกเราได้รับฟังรับอ่านบ้าง เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆ น้องๆ หลายๆ คนที่นี่อยากจะได้รับทราบรับรู้ด้วยกันนะคะ
ข่าวสารที่อยากแนะนำจากอีเมล์ข้างบนนี้
เดวิดบอกดิฉันว่า อย่าลืมไปหาดูู ไปหาซื้อหนังสือ ชื่อThe Wave of Destruction ของErich Krauss โดยเด็ดขาดเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสึนามิที่บ้านน้ำเค็ม
เมื่อวานที่ดิฉันเช็คอีเมล์ ดิฉันก็เรียกคุณพ่อลิซซี่มาอ่าน พ่อลิซซี่ไม่รอช้า ถีบดิฉันตกเก้าอี้(อ่ะ ล้อเล่น) แค่ร้อนรนไล่ดิฉันให้ลุกไป แล้วเขาก็นั่งลงจัดการสั่งหนังสือเล่มนี้ทันที พอถึงตอนสุดท้ายเขาตะโกนบอกดิฉันว่าทางเวบขอเก็บสิบปอนด์เป็นค่าส่งมาจากอังกฤษ เพราะเราสั่งจากเวบอเมซอนที่อังกฤษ ดิฉันก็ช่างหน้าเลือดเสียนี่กระไร กระโดดผลุงมาห้ามทัพอาเฮียทันที ยังไม่ให้สั่ง เดี๋ยวจะไปหาซื้อที่ร้านเอง เชื่อว่าสิงคโปร์มีขายแน่นอน หรือถ้าหาซื้อในร้านใหญ่ๆ ที่นี่ไม่ได้ก็สั่งเวบอเมซอนที่สิงคโปร์ ค่าส่งน่าจะถููกกว่าเยอะ เก็บสิบปอนด์ไว้บริจาคช่วยอย่างอื่นดีกว่า หรืออย่างน้อยก็เก็บไว้ซื้อแจกเพื่อนๆ ได้อีกสักเล่มล่ะน่า
โปสการ์ด กับ น้ำใจเล็กๆ อีกหนึ่งหยด
วันนี้ขอคั่นรายการเรื่องราวของ ครอบครัวเราและเพื่อนกับเหตุการณ์สึนามิปีที่แล้ว ไว้แป๊บนึงนะคะ พอดีมีเรื่องประทับใจส่วนตัวเกี่ยวกับน้ำใจเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจเรา มาบันทึกไว้ก่อนที่วันเวลาจะล่วงเลยนานเกินไป ขออนุญาตบอกเล่าเรื่องราวด้วยจดหมายอีเลคโทรนิคส์ หรือที่เราๆ เรียกกันว่าอีเมล์นั่นเอง เชิญรับชมรับอ่านกันได้แล้วค่ะ
อันแรกเป็นอีเมล์ที่เราเขียนไปหา เดวิดและครอบครัวที่บ้านน้ำเค็ม พวกเขาเป็น ครูอาสาที่มาจากนิวยอร์ค(ได้บันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้แล้ว และจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)
> Hello> it is very nice to hear from you.I would like to ask some help from your family as i> would like to coordinate for Milverton school in England to continue support> 5 orphans in Bannamkem school.> I am thinking to ask one of my friends to send blank postcards of Pang Nga to you for>5orphans whom Milverton school support them financially .>i think it would be nice> if those kids could stay intouch with them by sending Postcard to> pupils in Milverton. I just would like to ask that it is ok for you to help> them to write these postcards in english or not.If you agree with this idea> and think you can help, i will post all these postcards together with stamp> for uk to you and will give you all students' name and their class details.> Hope you dont mind i am asking this.if you have any advise, please let> me know.I need your comment about doing this as well.> thanks and regards,> Nataya
สรุปเป็นภาษาไทย(แต่ไม่ได้แปลนะคะ แค่เป็นการสรุปที่ไปที่มาของแต่ละอีเมล์) คือว่าอยากให้ครูอาสาที่มาจากนิวยอร์ค ช่วยประสานงานและสอนนักเรียนกำพร้าซึ่งสูญเสียทั้งคุณพ่อคุณแม่ในเหตุการณ์สึนามิ ให้เขียนโปสการ์ดสวยๆ จากเขาหลักไปขอบคุณนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ที่โรงเรียนMilverton ประเทศอังกฤษ เพราะว่าหลังจากเรานำเงิน หนังสือ ชุดนักเรียนใหม่ และของเล่น ไปบริจาค เรียบร้อยแล้ว ทาง Milverton ก็บอกว่าอยากจะช่วยเหลือเด็กๆ กำพร้าต่อไปเรื่อยๆ โดยจะจัดงานที่โรงเรียนเพื่อรับบริจาคแล้วส่งมาให้อีกเรื่่อยๆ เราเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องน่ารักๆ ที่เด็กๆ กำพร้าจะส่งคำขอบคุณผ่านทางโปสการ์ดสวยๆ ของเขาหลัก และเผื่อว่าพวกเขาเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่ยังอยู่ ก็อาจจะช่วยโปรโมทให้ฝรั่งมาเที่ยวที่นั่นกันอีกเยอะๆ เขาหลักจะได้ฟื้นตัวไวๆ(ทั้งที่รู้ว่ายาก แต่ก็ยังมีความหวัง) และพวกชาวบ้านจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย
อันนี้เป็นอีเมล์เดวิดกับครอบครัวที่เราเจอตอนไปบ้านน้ำเค็มเดือนตุลาคม มีพ่อแม่กับลูกสาวอีก 3 คน มาช่วยเหลือเด็กๆ ที่บ้านน้ำเค็ม ทั้งสอนและช่วยดูแล รวมถึงฟื้นฟูจิตใจเด็กๆ ด้วย หนังสือที่เอามาจากอังกฤษเลยมีประโยชน์มากๆ เพราะครอบครัวเดวิด กำลังต้องการหนังสือดีๆ ไว้ในห้องสมุดโรงเรียน และไว้ใช้ในการสอน เด็กๆ ชอบหนังสือกันมาก (ขออนุญาตบอกว่าเป็นหนังสือดีๆ สวยๆ จากอังกฤษ และหลายๆ เล่มราคาก็สูงพอสมควร ผู้ปกครองบางคนที่อังกฤษถึงกับลงทุนไปซื้อมาบริจาคก็มี น่ารักมากๆ)
> >Thanks so much Nataya,> >We appreciate your good wishes and thoughts.> >We are receiving much more from the Thai people than we are giving, and> >feel privileged to be here.For your asking , I think that we can manage. > >We are teaching the > >kids to write letters because that is something donors appreciate. > > I look forward to receiving the cards. Let me know which students it is. > >goodwishes and thoughts, and look forward to seeing you again. > >All the best, also to your daughter,> >David and Tabea
สรุปว่าเดวิคเห็นด้วยกับเรา และแล้วเราก็ทำฉลากซุ่มตัวอย่างรายชื่อเพื่อนๆ ได้ชื่อผู้โชคร้าย เอ้ย!โชคดีเป็น อ้า เพื่อนสาวที่คบกันมาร่วม 10 ปี ที่โดนอีเมล์ขอร้องแกมบังคับยังงัยก้อไม่รู้เข้าให้ซ้าาาา ตามข้างล่างนี้ (ก่อนหน้านี้ตอนลงไปบ้านน้ำเค็มอ้าก็ฝากชุดนักเรียนใหม่ๆไปให้เด็กๆ กำพร้าด้วย)
หวัดดีจ่ะอ้า คือว่าอยากชวนทำบุญ อีกแล้วน่ะ หลังจากที่เราเขียนบรรยายความเศร้าไปให้ Milvertonschoolพวกเค้าก็ตกลงใจจะsupport เด็กๆ เหล่านี้ต่อ เรากับครอบครัวอเมริกันที่เป็นvolunteer ที่บ้านน้ำเค็มเลยคุยกันว่า เราจะส่งpostcard พร้อมแสตมป์ ไปให้เด็กกำพร้า แค่ 5 คนเอง เป็นpostcardเปล่าติดแสตมป์ ทีนี้เราคิดว่าจะให้พ่อแม่เราจัดการส่งให้แต่ท่านทั้งสอง(เรียกซะดูเป็นทางการมะ) ท่าทางจะงงๆ กับการหาซื้อ postcard น่ะ เราเห็นว่าอ้าอยู่ใกล้ตรอกข้าวสารเลยอยากรบกวนว่า ถ้าว่างอยากให้อ้าไปช่วยหาซื้อ postcard รูปเขาหลัก หรือ พังงาก็ได้แล้วเราจะให้พ่อขับรถมาเอาที่บ้านอ้าไปติดแสตมป์ ส่งไปให้ เดวิดที่พังงา แล้วเขาจะสอนเด็กๆ เขียนขอบคุณนักเรียนและครูที่milverton อ้าว่า เวอร์ไปหรือป่าว ขอคำปรึกษาด้วย ทาง Milvertonไม่เคยคาดหวังอะไรตอบแทน แต่เราว่าถ้าเด็กๆ ส่งการ์ดไปขอบคุณ เด็กๆ ด้วยกัน ก็เป็นเรื่องน่ารักดี ทีนี้จะไปรบกวนครูที่บ้านน้ำเค็มเค้าก็คงรับปาก แต่จะทำให้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อย่าหาว่าแส่หาเรื่องเลยนะอยากทำอะไรดีๆ แต่ไม่มีปัญญาทำ รบกวนเพื่อนอีกแย้ว ถ้างัยตอบด้วยนะว่าสะดวกหรือป่าว ขอโทษจริงๆ ที่รบกวนอีกแล้ว รักและเคารพ(ในน้ำใจอันงามแต้ของเพื่อน)
ปล.ข้าว่าข้าเขียนแบบมัดมือชกยังงัยบอกไม่ถูก สงสารเอ็งว่่ะ
และนี่คือความประทับใจในเรื่องโปสการ์ดที่เกริ่นมาตั้งแต่ต้น ลองอ่านอีเมล์ที่เพื่อนเราตอบ ช่างเป็นอีเมล์ที่สวยงาม(น้ำใจ)จริงๆ
I just got your this mail at 2.45 pm while the time shown that it was sentfrom you since 9.30 am!!No worry (familiar word mai??). I can buy such postcards from my soi. Alsocan fix stamps to the postcards and send to David. How much for stamp perone postcard, 15 baht?? You got to tell me david's address as well. Dontbother your parents for postcards pick up, no need. Also dont mind aboutthe postcards and stamps price, as you said... we are making merits.I really agree for this idea wa. Though we can communicate thru emails,which is faster than letters but I sometimes prefer letters or postcards.It is more touchable than electronic letter.. I think.Tell me if 5 postcards are enough.Ah :)
ขอบคุณอีกครั้งนะเพื่อน
น้ำใจ(น้องกุ้ง)สู้ภัยสึนามิ
........มิตรภาพในเอ็มบลอกมีจริง และสวยงามอย่างที่ไม่เคยพบในที่ใดมาก่อน.........
วันแรกที่เข้ามาบันทึกเรื่องราว น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามินั้น
มิได้คิดและคาดหวังว่าจะได้เจอมิตรภาพแสนงามจากชุมชนแห่งนี้
ความหวังแรกที่เขียนเรื่องราวของน้ำใจแต่ละหยาดแต่ละหยดนั้น
ก็ด้วยแค่หวังว่าเผื่อมีคนกวาดสายตาผ่านมารับรู้เรื่องราวของผู้มีน้ำใจแต่ละผู้แต่ละนาม
ซึ่งไม่ได้ถููกกล่าวถึงในสื่อสาธารณะ เพราะพวกเขาอาจจะเป็นได้เพียงแค่หยดน้ำ หยดเล็ก
แต่กระทบแสงสวยงามจนแลเห็นหัวใจดีๆ จา่กเขาเหล่านั้นได้จากบ้านน้ำใจแห่งนี้
มาวันนี้น้ำใจที่หยาดหยด รดลงมา ให้เด็กน้อยได้ชุ่มชื่น แม้เพียงเล็กๆ แต่เชื่อว่าเด็กๆ คงสุขใจ
ที่อย่างน้อยมีใครห่วงใย ส่งความหวังดีผ่านมาให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็น กำลังใจให้เด็กๆ
ผ่านตัวอักษรสวยๆ ในคอมเม้นท์ ของเพื่อนที่มีหัวใจงดงามการ์ดส่งความสุข
เมื่อตอนปีใหม่จากเพื่อนๆ ผู้มีน้ำใจในหมู่บ้านนี้ หรือเิงินบริจาคจากเพื่อนๆ ดิฉัน
ที่เข้าไปดููรายชื่อและเบอร์บัญชีธนาคารน้องๆ ในลิงค์ รักษาใจเด็กกำพร้า
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีน้องที่รู้จักกันผ่านทางหมู่บ้านแห่งนี้
ได้แสดงน้ำใจแสนงามมาให้อีกหยาดหยดหนึ่ง นั่นคือ น้องกุ้ง ณ สิงคโปร์
เรื่องราวความรักระหว่างเราสองคน เอ๊ย เรื่องราวความเป็นมาของมิตรภาพระหว่างเราสองคน
เริ่มต้นขึ้นเมื่อ น้องกุ้ง สะดุึดหลุมพรางที่ดิฉันวางไว้ สะดุดหัวคะมำหล่นลงมาที่บ้านน้ำใจ
เหมือนนางฟ้าตกสวรรค์อย่างไร อย่างนั้น
เมื่อสืบเชื้อสายไปมา เราพบว่า เราสองมีล๊อคเกตที่ท่านแม่ได้มอบไว้ เอามาชนกัน
แล้วฟ้าผ่าดังเปรี้ยง เดี้ยงกันไปทั้งคู่เพราะต้องตกมาอยู่ในในสิงคโปร์ด้วยกัน
เมื่อครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตามสาย........ บทสนทนาแรกของเราก็คือแอบด่าคนสิงคโปร์
ทีแรกนึกว่าน้องกุ้งจะรับพี่คนนี้ไม่ได้ซะแล้ว แต่ฟ้าเมตตา ให้น้องกุ้งอดทนกับวาทะพี่คนนี้
ด้วยความอารมณ์ดีของน้องกุ้ง บวกกับมุขฮาๆ ขำๆ ที่น้องกุ้งพากเพียรส่งผ่านอีเมล์มาให้พี่คนนี้
ยามว่างเว้นจากงานที่ออฟฟิส ทำให้มิตรภาพของเรางอกงามเป็นชามก๋วยเตี๋ยว
และที่สุด(ของพี่แจ้) ก็คือว่า น้องกุ้ง มีหัวใจอันงดงาม ที่อยากจะช่วยเหลือน้องๆ เด็กกำพร้าสึนามิ
จริงๆ เราวาดหวังว่าจะได้ไปฮันนีมููนเขาหลักด้วยกันในเร็วๆ นี้
แต่บังเิอิญคนพี่มีภาระสำคัญที่จำใจต้องไปรบกับฝรั่งมังค่าเมืองผู้ดีอังกฤษสักพัก
คนพี่เลยคิดว่า น้องกุ้ง คงต้องร้องเพลง รักแล้วรอหน่อย ไปพลางๆ ก่อน
แต่พลังศรัทธาของน้องสาวคนนี้แรงกล้า(ท่าจะบ้าบิ่นด้วยเหมือนกัน)
มิรอช้า น้องกุ้งป่าวประกาศ ขอบริจาคสิ่งของที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับน้องๆ เด็กกำพร้า
จากเพื่อนๆ ทั้งที่ทำงานและทั่วไปในสิงคโปร์ มาสนับสนุนพี่คนนี้
ให้ได้ปลาบปลื้ม จนกินไม่หยุด นอนไม่ตื่นมาหลายเพลาแล้ว
ณ วันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่พี่จะขออนุญาต ถือวิสาสะมาประกาศความดีงามของน้อง
ให้เพื่อนเราผู้มีหัวใจสวยสดงดงาม เช่นเดียวกับน้องกุ้ง
ได้รับทราบและช่วยกันปลาบปลื้มไปกับพี่แทนน้องๆ เด็กกำพร้าที่เขาหลักด้วยนะคะ
หากบันทึกวันนี้ ผิดพลาดประการใด ขอให้น้องกุ้งให้อภัยสามีพี่ด้วย ไม่ว่าพี่จะทำอะไรไม่ดีลงไปในครั้งนี้ ให้ถือซะว่าเป็นความไม่ดีของสามีพี่ไปก็แล้วกันนะ (กรุณาอย่า... งง นี่เป็นมุขหาแพะรับบาป)~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
สิ่งของทั้งหมดที่น้องกุ้งรับบริจาคมา เราจะนำส่งไปให้น้องๆ ที่เขาหลักในโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรงเรียนบ้านน้ำเค็ม เพื่อที่ว่าความช่วยเหลือครั้งนี้จะได้กระจายไปสู่น้องๆ เด็กกำพร้าคนอื่นๆ ได้ทั่วถึง สำหรับจะเป็นโรงเรียนใดนั้น ดิฉันจะขออนุญาตติดต่อประสานงานกับโรงเรียนในเขาหลักทุกที่ก่อน เพื่อจะไ้ด้พิจารณาว่า น้องๆ เด็กกำพร้าในโรงเรียนใดที่ขาดแคลนและมีความต้องการความช่วยเหลือมากสุด แล้วจะนำมาประกาศให้ทราบในโอกาสต่อไปนะคะ~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
......... อีกหนึ่งหยาด หนึ่งหยดของน้ำใจ ที่จะยังรินไหล รดลงไป ในใจอันร้าวราน.........