Tuesday, April 11, 2006

บันทึกสึนามิ(เพื่อนฉันกับวันที่โหดร้าย)




บันทึกที่1 แม็กซ์เวลล์และลิซซี่ กับ ฮอลิเดย์สเปเชี่ยล




แม็กซ์เวลล์ เป็นหนุ่มน้อยวัย 7 ปี ลูกชายของเดวิด และ ฟิโอน่า เพื่อนรักเพื่อนสนิทของครอบครัวเรา ส่วนลิซซี่สาวน้อยวัย 8 ปี นั้นเป็นลูกสาวดิฉันเอง ถ้ามีเวลาว่างเราทั้่งสองครอบครัวมักจะร่วมเดินทางไปพักผ่อนด้วยกันเสมอๆ



และ คริสต์มาสปี 2004 สองครอบครัวก็วางแผนเดินทางกันอย่างเช่นเคย ทริปปีนี้ดิฉันเป็นคนตัดสินใจให้ไปสนับสนุนประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของดิฉัน มิใช่เพียงแค่ต้องการให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยอย่างเดียวเท่านั้น ผลพลอยได้อีกอย่างที่สำคัญมากด้วยเหมือนกัน คือ ลิซซี่จะได้กลับไปเยี่ยมคุณยายและครอบครัวที่เมืองไทย



ช่างดูเป็นแผนการฮอลิเดย์ที่แยบยลของดิฉันเหลือเกิน และดิฉันอีกนั่้นแหละที่วางโปรแกรมต่างๆ ให้เราทั้งหมด โดยเราจะเริ่มกันที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ต่อด้วยภูเก็ต และก็จะเป็นเขาหลักในช่วงก่อนวันคริสต์มาสเล็กน้อย แล้วสุดท้ายจะเช็คเอาท์ออกจากเขาหลักประมาณวันบ๊อกซิ่งเดย์คือ วันที่ 26 ธันวาคม 2004 และจะบินต่อไปเสียมเรียบ เพื่อให้ลิซซึ่และ แม็กซ์เวลล์ได้ไปเห็นนครวัดนครธมอันลือชื่อ



เหตุจูงใจที่แนะนำให้พักที่เขาหลักก็เพราะว่าได้เคยไปโซฟิเทลเขาหลักมาเมื่อต้นปี 2004 และรู้สึกประทับใจมากๆ ก็เลยมั่นใจว่าเพื่อน และลูกๆ ของพวกเราต้องชอบแน่นอน



บันทึก2 Destiny.....ชะตาฟ้าลิขิต

และแล้วแผนการทุกอย่างก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยเหตุว่าเราจำเป็นจะต้องอยู่ช่วยน้าทำร้านอาหารในช่วงคริสต์มาสซึ่งเป็นไฮซีซั่นและโอกาสในการทำเงินที่ดีที่สุดของร้านอาหารไทยในอังกฤษ เพราะว่าน้องที่เป็นพนักงานคนหนึ่งของน้าหยุดไปฉลองกับเพื่อนๆ ที่มหาลัยต่างเมือง


และด้วยความเป็นครอบครัวแบบชาวไทย ที่พี่น้องต้องช่วยเหลือกัน และน้าก็เป็นคนดีมากๆ ก็เลยจำต้องตัดใจขอไม่เดินทางไปพักผ่อนในทริปนี้ ทุกคนออกอาการหงุดหงิดทันที เพราะว่างานนี้ขาดพี่เลี้ยงเด็กซะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อลิซซี่ เพราะว่าฝรั่งเค้าถือว่าคริสต์มาสเป็นวันที่ครอบครัวควรจะอยู่พร้อมหน้า พร้อมตากัน


แต่ด้วยความที่สั่งสมประสบการณ์ในการเป็นเขยชาวไทยมานานนับสิบปี ทำให้อาเฮียผมทองเข้าใจเรื่องความช่วยเหลือกันของคนในครอบครัวได้ในที่สุด


และแล้วทุกคนก็เดินทางไปถึงเมืองไทยในวันที่ 16 ธันวาคม 2004 ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวจึงได้โทรตามไปติดๆ คุณยายลิซซีรับสาย จึงได้คุยกันเล็กน้อยและคุณยายบ่นว่าได้อยู่กับลิซซี่น้อยมาก เพราะลิซซึ่ต้องลงไปภูเก็ต ว่าแล้วก็ขอร้องแกมบังคับว่าให้พ่อลิซซึ่ไปคนเดียวได้ไหม เพราะลิซซี่ก็เที่ยวมาหมดแล้ว


เอาล่ะสิงานนี้ต้องงัดตำราออกมาเจรจาต้าอวยกับพ่อลิซซี่อีกรอบซะแล้ว โชคดีที่เขาเข้าใจและเห็นใจคุณยาย ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คุณยายปรารถนา คือลิซซี่ได้อยู่กรุงเทพฯยาวไปจนถึงวันที่ 27 ธันวา แล้วค่อยออกเดินทางไปเสียมเรียบ พร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ที่ต้องกลับขึ้นมาจากเขาหลักในวันที่ 26 ธันวา 2004


ฝรั่งเค้าเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า Destiny แต่เราชาวพุทธก็ว่าเป็นเรื่องชะตาฟ้าลิขิต ดวงยังไม่ถึงคาด สองคนแม่ลูกแคล้วคลาดจากภัยร้ายไปแล้ว


แต่...................คนอื่นๆ ล่ะจะเป็นอย่างไร !




บันทึกที่3 สึนามิ ตอน destiny..........ชะตาฟ้าลิขิต ภาค2 (ตอนวันมหาวิปโยค)



ในวันคริสต์มาสเช่นนี้ ในประเทศอังกฤษนั้นช่างดูมีสีสรร คึกคัก กว่าในประเทศไทยหลายเท่านัก(ก็แหงล่ะ มันเป็นประเพณีของพวกเค้านี่นา) ไม่อินก้อต้องอินไปกะเค้าด้วย ก็ประเภทว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม

วันนี้น้าปิดร้าน 2 วัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวีคก่อนคริสต์มาสแล้ว ส่วนเราก็เหลือเวลาช่วยงานเฉพาะกิจครั้งนี้แค่ช่วงปีใหม่เท่านั้นเอง ก็จะได้ไปนอนตีพุง เลี้ยงลูก เป็นอีแจ๋วต่อไป เช้าวันคริสต์มาสเราตื่นแต่เช้าเพราะเวลาเมืองไทยก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองอยู่แล้ว ตื่นมาปุ๊บก็รีบโทรหาลิซซี่ที่เมืองไทยทันที เื่พื่ออวยพรวันคริสต์มาส ดูลิซซี่จะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แถมยังบอกว่าหนูอยากลอยกระทงมากกว่า ดี ดี ลูก เอียงมาทางคนไทยเยอะๆ น่ะดีแล้ว

ตอนกลางวันแม่ครัวที่ร้านทำอาหารไทยอิสานให้พวกเราทานฉลองคริสต์มาสแทนไก่งวง เก๋ชะมัด อย่างแซ่บเลยทีเดียวเชียวหล่ะ ไก่งวงหรือจะมาสู้ไก่ย่างบ้านนาของเราได้ หลังฉลองภาคกลางวันกับพี่ๆ น้าๆ ที่ร้านอาหารไทยเสร็จ เพื่อนก็มารับไปงานปาร์ตี้บ้านจิลล์ คืนนั้นต้องค้างบ้านจิลล์เพราะว่า ทุกคนเมาไม่ขับ กันหมด เลยไม่มีใครมาส่ง

ส่วนเราเมาน้ำเปล่า เพราะกินเหล้าไม่เป็น ตื่นซะสายเหมือนกัน แม่จิลล์มาปลุกบอกว่ามีโทรศัพท์เราพอไปรับสายก็เป็นซิลเวียกับเจฟฟ์โทรมา บอกมีสึนามิที่เมืองไทย ตาสว่างทันที

รีบเปิดทีวีดูกัน แล้วกดโทรศัพท์กลับบ้าน โอ แม่เจ้า ไม่มีใครรับสาย แย่แล้วใจสั่นมาก ลิซซึ่น่ะคงปลอดภัย แล้วอาเฮียผมทองล่ะ โทรเข้ามือถือคุณยายลิซซี่ก็ไม่รับสาย เอางัยล่ะเนี้ย โทรหาน้องคนนึงที่ภูเก็ต น้องบอก "เด็กๆ พี่ ไม่มีอะไรแค่รถตกน้ำ" เออ ค่อยยังชั่วหน่อย

พอตอนบ่าย ซิลเวียให้คนมารับไปทานข้าวที่บ้าน ก็เลยไปนั่งดูทีวีที่นั่นต่อ พวกฝรั่งบอก เธอแน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไร ข่าวดูน่ากลัวออก เออซินะ น้องเค้ามั่วนิ่มหรือเปล่าเนี้ย

โทรหาคุณยายลิซซี่อีกที ติดแล้วคราวนี้ คุยกับคุณยายได้ความว่า.... พ่อลิซซี่อยู่กรุงเทพฯแล้ว เค้าแยกกับเดวิดและฟิโอน่าที่ภูเก็ต พอดีเจมส์เพื่อนอีกคนตามมาจากอังกฤษ เจมส์ บอกอยากให้พ่อลิซซึ่ไปเป็นเพื่อนที่พีพี เค้าไม่อยากไปเขาหลัก พ่อลิซซึ่ก็เลยทิ้งโรงแรมที่จองที่เขาหลักไปเป็นเพื่อนเจมส์ เพราะเห็นว่าเดวิดมีครอบครัวอยู่ด้วยแล้ัว

ระหว่างไปติดต่อเรื่องการเดินทางพ่อลิซซึ่บอกกับเจมส์ว่าจับเครื่องไปสมุยง่ายกว่าไปพีพี เพราะเค้าขี้เกียจที่จะต้องนั่งเรือไปเกาะ นี่มัน destiny.....ชะตาฟ้าลิขิต พาให้ครอบครัวเราปลอดภัยครบทุกคน

เป็นห่วงก็แต่เดวิดและครอบครัว เท่านั้น เพราะตามกำหนดการ พวกเค้าต้องถึงกรุงเทพฯ บ่ายของวันที่ 26 ธันวา แต่ตอนที่เราคุยกับแม่เรานั้นก็เป็นเวลา 3-4 ทุ่่มแล้ว แต่ทำไมยังไม่มากัน.......



บันทึกที่4 สึนามิ ตอน รอคอย............

ตีหนึ่งเวลาของอังกฤษ เราโทรหาแม่ ซึ่งเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าเมืองไทยของวันที่ 27 ธันวาคม เราอยากจะเช็คว่าทุกคนบินไปเที่ยวนครวัดนครธมหรือยัง

เราหวังแต่จะได้ยินแม่บอกว่าทุกคนไปกันหมดแล้ว นั่นจะหมายถึงว่าครอบครัวเดวิดได้กลับมาถึงกรุงเทพ อย่างปลอดภัย แต่สิ่งที่เราได้ยินกลับเป็นสิ่งที่เราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาหลังทราบข่าวสึนามิ

คุณยายของลิซซี่เล่าว่า พ่อลิซซึ่โทรมาในวันคริสต์มาสขอให้คุณยายช่วยทำกับข้าวไทยๆ และจัดงานฉลองวันคริสต์มาสย้อนหลังให้เด็กๆ และครอบครัวเดวิด พร้อมเพื่อนๆ ชาวอังกฤษ ที่จะมากันที่บ้านคุณยายในวันบ๊อกซ์ซิ่งเดย์(26 ธันวาคม 2004)

วันนั้นคุณยายและคนที่บ้านเราก็เลยไม่ได้ดูข่าว เพราะว่ามัวแต่วุ่นวายกับการเตรียมการจัดงาน สถานที่ รวมไปถึงข้าวปลาอาหาร(ไทย)ซึ่งเป็นเมนูสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ส่วนพ่อลิซซึ่ก็มานั่งรอเดวิดที่บ้านคุณยาย ทุกคน รอแล้ว รอเล่า ก็ยังไม่ปรากฎกายของครอบครัวเดวิดเลย ช่วงกลางวันที่นั่งรอกันอยู่ทุกคนก็ยังเฉยๆ คิดกันแต่ในแง่ดีว่า เครื่องบินดีเลย์ หรือแท็กซี่จากสนามบินพาพวกเขาหลงทางหาบ้านคุณยายไม่เจอ

ทุกคนรู้ว่าเช้านั้นเดวิดและครอบครัวต้องเช็คเอาท์ออกมาแต่เช้า พวกเขาก็น่าจะปลอดภัย พี่ชายของเราพาลูกๆ มาที่บ้านคุณยายเพื่อมาร่วมงานปาร์ตี้ด้วย เขาเป็นคนเดียวที่รู้แล้วว่า ภัยครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว เนื่องจากติดตามข่าวมาตลอด

ก็เลยพยายามโทรไปเช็คที่โรงแรม หรือ หน่วยราชการต่างๆ ที่พอจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเดวิดและครอบครัวได้ แต่ทางหน่วยงานเหล่านั้นก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้มากนัำก เนื่องจากเพิ่งเกิดเหตุใหม่ๆ และยังไม่มีศูนย์กลางข้อมูลที่ดีนัก

ตอนนี้เรื่องงานปาร์ตี้น่ะลืมไปได้เลย อาหารที่เตรียมไว้ตอนนี้เย็นชืด ถูกตั้งทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเต็มไปหมดโดยไม่มีใครสนใจ

ความกังวลเพิ่มขึ้น ตามเข็มนาฬิกาที่หมุนไป.......... นาทีแล้ว......นาทีเล่า ชั่วโมงแล้ว.......ชั่วโมงเล่า

จนกระทั่ง เกวินเพื่อนสนิทอีกคนโทรมาจากอังกฤษตอนดึกวันนั้นว่า เดวิดได้โทรไปหาบอกว่าเจอคลื่นยักษ์สึนามิและตอนนี้ลูกเมียหายไปหมด เขาบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้เค้าต้องการความช่วยเหลือในการตามหาลูกเมียด่วน

โดยขอให้ช่วยหาเบอร์มือถือเมืองไทยของพ่อลิซซี่ให้หน่อย(พ่อลิซซี่ไม่ได้เอาเบอร์อังกฤษมาใช้ แต่ใช้เบอร์เมืองไทยที่เคยซึ้อไว้ครั้งก่อนที่มาเที่ยว และเดวิดก็ทราบเบอร์แล้วแต่อยู่ในกระเป๋าที่หายไปกับน้ำ จึงโทรหาพวกเราไม่ได้)

จริงๆ เกวินนั้นไม่มีเบอร์มือถือเมืองไทยของพ่อลิซซี่เลย แต่เกวินก็พยายามทุกวิถีทางด้วยการตั้งหน้าตั้งตาโทรหาเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ว่าใครมีเบอร์มือถือของพ่อลิซซี่บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เนื่องจากส่วนใหญ่ก็จะมีแต่เบอร์อังกฤษ แต่ด้วยความพยายามบวกกับความโชคดี มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยมาเที่ยวเมืองไทยครั้่งก่อนกับพ่อลิซซี่ ได้แลกเบอร์เมืองไทยกันไว้ในตอนท่องเที่ยวด้วยกัน และยังได้เก็บเบอร์อยู่

หลังจากเกวินวางสายไป ทุกคนก็นั่งรอโทรศัพท์เดวิด แต่เดวิดก็ยังไม่โทรเข้ามาเลย มันช่างเป็นการรอคอยที่ทุกข์ทรมานที่สุด



บันทึกที่5 สึนามิ ตอน .................ลิซซี่สอนพ่อสวดมนต์

คืนของวันที่ 26 ธันวาคม หลังเกิดสึนามิและทุกคนรู้ข่าวของเดวิดและครอบครัวว่า

เดวิดบาดเจ็บเล็กน้อยหนีออกมาทัน แต่ยังไม่ติดต่อกลับมาแม็กซ์เวลล์ ลูกชาย หายไป ฟิโอน่า ภรรยา หายไป

กรุงเทพฯ ที่บ้านคุณยายลิซซี่

ทุกคนอยู่รวมกัน ไม่มีใครได้นอน พี่ชายเราช่วยพ่อลิซซี่ติดต่อกับทุกหน่วยงานที่พอจะหาข่าวสารของเดวิดได้ นั่งโทรศัพท์กันทั้งคืน.....

พ่อลิซซี่และเพื่อนตัดสินใจว่าถ้าเดวิดยังไม่โทรมา พรุ่งนี้ทุกคนจะลงไปเขาหลัก ความตึงเครียด กังวล ทุกข์ใจ แผ่ออกไปทั่วบ้านคุณยาย

ลิซซี่ไม่นอนเหมือนกัน เพราะโตพอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ลิซซี่นั้นรักและสนิทกับแม็กซ์เวลล์มาก ส่วนเดวิดนั้นก็เป็นพ่อทูนหัวของลิซซี่ ความผูกพันของครอบครัวเราทั้งสองนั้น มันมากกว่าความเป็นเพื่อน พ่อลิซซี่เคยบอกว่า พวกเขาและพวกเราสามารถที่จะทำอะไรให้ต่อกันได้ โดยไร้เงื่อนไข

คุณยายเล่าว่า ลิซซี่เดินไปบอกพ่อ ประสาเด็กๆ ว่า "ลิซซี่กลัวแม็กซ์เวลล์กับฟิโอน่าตาย"

"ลิซซี่สงสารอังเคิลเดวิด""ลิซซี่จะสวดมนต์ให้พระคุ้มครองไม่ให้พวกเขาตาย" ทุกคนเงียบ อึ้งกับวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของลิซซี่

หลังจากนั้น คุณยายก็ได้ยินลิซซี่นำฝรั่งสวดมนต์อยู่ในห้องนอน เป็นบทสวดสั้นๆ ที่คุณยายสอนให้ลิซซี่สวดก่อนนอนทุกคืน คือการตั้งนะโม 3 จบ แต่พอถึงบท อิติปิโส ชาวต่างประเทศทั้งหลายเริ่มงง ลิซซี่เลยบอกให้ทุกคนนั่งสมาธินึกถึงครอบครัวเดวิด แล้วลิซซี่ก็สวดคนเดียว

เราจำได้ว่าเพื่อนๆ ฝรั่งทุกคน ตอนกลับมาถึงอังกฤษและเจอกับเรา ทุกคนเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยน้ำเสียงที่ประทับใจ และมีศรัทธาจริงๆ และที่สำคัญทุกคนบอกว่า เป็นวิธีคลายความกังวลที่ดีมากๆ ทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธ (ขอบคุณลิซซี่ ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนะลูก)




บันทึกที่ึ6 สึนามิ ตอน .................วินาทีของเดวิด

ในที่สุด เดวิดก็ติดต่อกลับมา ตอนเช้ามืด

เขาเล่าว่า

ก่อนเกิดสึนามิไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดวิดได้ทำการเช็คเอาท์อยู่ที่ล้อบบี้ด้านหน้าโรงแรม ส่วน ฟิโอน่ากับแม็กซ์เวลล์นั้นเก็บข้าวของอยู่ในห้องพักใกล้ชายหาด และจะตามมาเจอกันหน้าโรงแรม

ระหว่างรอเคลียร์บิลค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงกระจกแตกเปรี้ยง เห็นน้ำสาดกระจายเข้ามาเต็มไปหมด เดวิดเล่าว่าคิดอะไรไม่ทันเลย รู้แต่ว่าสิ่งแรกที่ทำคือ วิ่งเข้าไปดึงน้องพนักงานโรงแรมที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งให้พ้นจากเศษกระจกชิ้นใหญ่ที่พุ่งเข้ามาตามแรงน้ำ สิ่งต่อมาที่ทำ คือพยายามจะวิ่งกลับไปที่ห้องพักเืพื่อตามหาฟิโอน่าและแม็กซ์เวลล์

แต่.... น้ำที่สาดเข้ามายังกับพายุนั้น ทำให้เขาวิ่งฝ่าออกไปไม่ได้ เมื่อเดวิดตระหนักได้แล้วว่า ไม่สามารถจะกลับเข้าไปด้านหน้าหาดได้แล้ว เขาจึงหันมาช่วยเด็ก และ ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งผู้ชายที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ในห้องโถงโรงแรม ตอนที่เดวิดเล่าเรื่องนี้ให้ฟังที่อังกฤษ เรานับถือน้ำใจเขามากๆ และเชื่อว่าเขาเข้มแข็งพอ (ทั้งร่างกายและจิตใจ)ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในยามคับขัน แม้ใจจะกังวลห่วงภรรยาและลูกมากเท่าใดก็ตาม

หลังจากทุกคนหนีออกมาอยู่ในที่ปลอดภัยได้แล้ว เดวิดมองกลับไป ภาพที่ปรากฎอยู่เบี้องหน้า มันทำให้หัวใจเขาแตกสลาย ไม่ใช่แค่ลูกและภรรยาเขาเท่านั้น ที่ถูกคลื่นใจร้าย ซัดพากลืนหายไปที่ใดที่หนึ่ง แต่หากว่าผู้คนอีกมากมายก็ตกเป็นเหยื่อคลื่นใจร้ายนี้ด้วยเช่นกัน ทีแรกเขาบอกว่า พยายามถามตัวเองว่า นี่เป็นแค่ภาพฝันร้าย หรือเปล่า เขาอยากจะให้มันเป็นแค่ภาพฝันซะจริงๆ แต่สุดท้ายเดวิดก็ต้องยอมรับความจริงว่า ภาพข้างหน้านั้นเป็นเรื่องจริง

ตอนเพื่อนๆ เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่อังกฤษ ทุกคนถามเขาคำถามเดียวกันว่า เขารู้สึกอย่างไร ณ วินาทีนั้น เดวิดตอบว่า วินาทีแรกรู้สึกใจวูบไปเมื่อนึกถึงภรรยาและลูกว่ายังอยู่ในห้องพัก และยังไม่รู้ชะตากรรมพวกเขา ความรู้สึกกลัวการสูญเสีย วิ่งขึ้นมาเป็นริ้วเข้าไปจับอยู่ในทุกอนูของร่างกายเขา แต่ความรู้สึกเหล่านี้อยู่กับเขาได้แค่ไม่เกินลมหายใจ 1 เฮือกใหญ่ ที่เขาสูดเข้าไป เพื่อสร้างพลังใจให้กลับมา หลังจากนั้นเดวิดบอกว่าเขาไม่เคยรู้สึกเข้มแข็งอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

เหตุผลที่เขาต้องเข้มแข็งให้มากที่สุดก็เพราะว่า เขารู้ตัวว่าต้องทำอะไรอีกมากมายในการตามหาลูกเมีย ถ้าขาดสติ หรือท้อแท้ แม้แต่นิดเดียว เขาอาจพ่ายแพ้ และล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นซะด้วยซ้ำไป

สิ่งที่เดวิดเล่าให้พวกเราฟังตอนตามหาสองแม่ลูกนั้น ก็จะขออนุญาตไม่เล่านะคะ เพราะโดยรวมๆ เท่าที่ฟังก็อารมณ์เดียวกับที่ผู้ประสบภัยหลายๆ คน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เคยบอกเล่าผ่าน หนังสือพิมพ์นั่นแหละค่ะ

แต่.....มีนิดนึงที่น่าสนใจคือความรู้สึกของเดวิดที่บอกว่า ช่วงเวลานั้นเขารู้สึกเหมือนว่าโลกมันซ้อนกันอยู่ คือ ในโลกของความโหดร้ายนั้น มีโลกของความอบอุ่นสวยงามซ้อนอยู่อีกใบ เป็นโลกแห่งความเอื้ออาทร ความช่วยเหลือและห่วงใยกันและกัน ของมนุษย์ ไม่ว่าจะต่างสีผิว ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ และ.........เดวิดฝากบอกคนไทยทุกคนด้วยว่า

" คนไทย(ดีๆ)ใจดีที่สุดในโลก"

*หมายเหตุ ตรงคำว่า(ดีๆ)ข้างบนนี้ดิฉันเติมเองค่ะ เดวิดไม่ได้พูด ขอประทานอภัย






บันทึกที่7 สึนามิ ตอน "ซุปเปอร์บอย" vs "ซุปเปอร์แมน"

ซุปเปอร์บอย นำแสดงโดย แม็กซ์เวลล์

ซุปเปอร์แมน นำแสดงโดย คุณกอล์ฟ หนุ่มไทยใจดีแห่งโรงแรมเมอร์ลิน เขาหลัก

หลังจากคลื่นสงบลง เดวิดตามหาภรรยาและลูกเป็นเวลาหลายชั่วโมง แว่นสายตาที่ใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาก็หายไป ทำให้เขามองอะไรไม่ค่อยเห็น ตลอดทางที่ผ่านไป มีแต่ภาพความสลดหดหู่ จนทำให้เขาเริ่มที่จะคิดในแง่ร้ายว่าเขาคงสูญเสียภรรยาและลูกไปแล้ว ทุกเวลา นาที ที่เริ่มหมดหวัง เขาต้องคอยกระชากความคิดร้ายๆ ออกไป และคอยบอกตัวเองตลอดเวลาว่า ลูกเมียคงจะปลอดภัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง

และแล้ว............ปาฎิหารย์ก็เกิดขึ้น ขณะที่เขาเดินเลาะผ่านเนินหินริมชายหาดเืพื่อขึ้นไปยังศูนย์ให้ความช่วยเหลือที่มาจัดตั้งชั่วคราว เขามองเห็น เจ้าตัวน้อยแม็กซ์เวลล์นั่งจ๋องอยู่ในเต้นท์ปะปนกับผู้คนมากมาย เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาตะโกนเรียกลูกชายด้วยเสียงอันดังลั่นเหมือนกับว่าจะให้คนทั้งโลกได้ยินเขาไปด้วย

เจ้าตัวน้อยหันมาตามเสียง แล้วกระโดดโลดเต้น ตะโกนบอกคนนู้นคนนี้ว่า "พ่อผมมาแล้ว พ่อผมมาแล้ว บอกแล้วพ่อต้องมา" สองคนพ่อลูกวิ่งหากันเพื่อให้ได้สัมผัสอ้อมกอดของกันและกัน และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า นี่คือความจริงมิใช่ความฝัน สิ่งแรกที่เดวิดถามลูกคือ "เจ็บไหม เป็นอะไรหรือเปล่า" แม็กซ์เวลล์บอกว่า ไม่เจ็บ ไม่เป็นอะไรเลย มีแผลเหมือนกิ่งไม้ข่วนอยู่นิดหน่อยตามข้อศอก

คำถามที่ตามมาหลังจากรู้ว่าลูกปลอดภัยแล้วคือ "แม่ล่ะ" แม็กซ์เวลล์เล่าว่า เท่าที่จำได้พอน้ำซัดเข้ามาในห้อง แม่ก็กอดเขาไว้แน่น แต่สุดท้ายเขาก็หลุดออกจากอ้อมอกแม่

(ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลนิดนึงว่า ในตอนนั้นแม็กซ์เวลล์อายุ 6 ขวบแต่ตัวเล็กกว่าเด็กฝรั่งที่รุ่นราวคราวเีดียวกันพอสมควร เพราะเป็นเด็กหลอดแก้ว)

ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราว ที่เล่าจากปากแม็กซ์เวลล์

หลังจากหลุดจากอ้อมกอดแม่แล้ว เจ้าตัวน้อยบอกว่าเหมือนถูกน้ำรัดตัวแล้วเหวี่ยงตัวเขาไปมา คงเป็นความโชคดีของเขาที่ตัวเล็กและประตูห้องได้ถูกเปิดทิ้งไว้ (เนื่องจากทั้งสองคนเตรียมจะออกจากห้องกันแล้ว) ทำให้เขาหลุดออกมาข้างนอกได้ มิเช่นนั้นอาจถูกน้ำท่วมขังอยู่ในห้องเหมือนเหยื่อรายอื่นๆ

ในช่วงเวลาที่แม็กซ์เวลล์โดนคลื่นซัดลงทะเล เจ้าตัวน้อยบอกว่า รู้สึกเหมือนจมน้ำ มีแต่ความมืด สักพักเขาถึงเห็นแสงสีแดง เจ้าตัวน้อยจึงพุ่งตัวไปตามแสงสีแดงนั้น เขาคว้าท่อนไม้เล็กๆ ได้อันหนึ่ง แล้วก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ ลอยคออยู่ในทะเลพักนึง จนกระทั่งเห็นแผ่นหลังคามุงจากซึ่งลอยอยู่ในน้ำ เจ้าตัวน้อยของเราก็เลยกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ลอยเคว้งคว้างอยู่ในทะเลเป็นเวลาหลายชั่วโมง

แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในทะเล แม็กซ์เวลล์ก็ตะโกนให้คนช่วยอยู่เป็นระยะๆ พอเหนื่อยก็หยุดพัก (นึกภาพแล้วรู้สึกสงสารจับใจ) และด้วยความโชคดีของเขา ได้มีหนุ่มไทยใจดีนามว่า กอล์ฟ ได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยของแม็กซ์เวลล์ เขาจึงว่ายน้ำไปช่วยเจ้าตัวน้อยขึ้นมาได้ และนำไปส่งให้กับศูนย์ให้ความช่วยเหลือชั่วคราว ทำให้พ่อลูกได้เจอกัน

ขอบคุณ คุณกอล์ฟ ซุปเปอร์แมนในใจของพวกเรา ที่สุดในโลก (ดิฉันได้เขียนเรื่องราวของคุณกอล์ฟแยกไว้ต่างหาก และขณะนี้ได้ขออีเมล์คุณกอล์ฟกับเดวิดแล้ว หวังว่าจะได้คุยกับคุณกอล์ฟเพิ่มเติมก่อนนำเสนอเรื่องราวของเขาในบันทึกต่อๆไป)

เมื่อครั้งที่แม็กซ์เวลล์เล่าเรื่องราวให้พวกเราฟัง เขาพูดย้ำไปย้ำมาว่า เขาโชคดี โชคดี โชคดีจริงๆ แต่พวกเราบอกเขาไปว่า มันไม่ใช่แค่โชคดีหรอกลูกเอ๋ย เจ้าน่ะกล้าหาญ(brave heart)ด้วยต่างหาก แล้วพวกเราก็ยกตำแหน่งซุปเปอร์บอยให้เขาไป เขาหัวเราะชอบใจใหญ่ คงดีใจที่ได้เป็นซุปเปอร์บอย

ตอนหลังลิซซี่ถามว่าแล้วยูหิวมั้ยระหว่างลอยอยู่ในทะเลน่ะ เขาตอบว่า หิวมาก เลยลองกินน้ำทะเลเข้าไป แล้วกระซิบบอกลิซซี่(เหมือนกลัวว่าคนไทยแถวๆ นั้นจะได้ยินแล้วน้อยใจ)ว่า น้ำทะเลเมืองไทยนะ เค้ม เค็ม โธ่ ลูกเอ๋ย น้ำทะเลที่ไหนมันก็เค็มเหมือนกันหมดล่ะ เอ๊ หรือของเราจะเค็มกว่าที่อื่นจริงๆ

ขอจบบันทึกตอนนี้ ด้วยภาพสองคนพ่อลูกจูงมือกันออกเดินตามหาแม่............




บันทึกสึนามิตอนที่ 8 ..........."ความรู้สึกผิด" กับ คำว่า"เพื่อนแท้"

ไม่รู้ชะตากรรมของบล๊อกนี้หรือเวบนี้ว่าจะเป็นอย่างไรในวันต่อๆ ไป บางทีเปิดมาอาจเจอกันเหมือนเดิม บางทีอาจไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว เป็นสัจธรรมจริงๆ แม้กระทั่งตัวเราเองก็เถอะ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราต่อไป ทุกเวลานาทีนั้นจึงมีค่าเสมอเรื่องอะไรจะปล่อยไปให้เสียเปล่า ว่าแล้ววันนี้จึงอยากขอบันทึกแป้นพิมพ์นี้ จากบันทึกมือที่ใช้ปากกาขีดเขียนไว้เมื่อ 27 ธันวาคม 2547 เป็นรอยน้ำหมึกที่ถูกบันทึกไว้ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หวั่นไหว หวาดกลัว และรู้สึกผิด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สองวันแล้วทุกคนยังตามหาฟิโอน่าไม่เจอ ทุกคนทำใจและคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องยอมรับกันให้ได้ โทรหาพ่อลิซซี่อีกที อยากได้ยินเสียงเดวิดและแม็กซ์เวลล์ อยากรู้ว่าสองคนพ่อลูกเป็นอย่างไรบ้าง อยากให้กำลังใจ อยากขอโทษที่เป็นต้นเหตุ อยากบอก ว่ารู้สึกผิด ต่อพวกเขา แต่ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะพ่อลิซซี่บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ เขาบอกอย่าคิดมาก เขาจะช่วยเดวิดให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ฉันจึงได้แต่พร่ำไปกับพ่อลิซซี่ว่า

"ฉันรู้สึกผิด"

"ฉันทำให้พวกเขาต้องไปเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายครั้งนี้"

"แล้วถ้าฟิโอน่าเป็นอะไรไป เดวิดกับแม็กซ์เวลล์จะทำอย่างไร อยู่อย่างไร"

"พ่อแม่ พี่น้องของฟิโอน่าล่ะ จะรู้สึกอย่างไร"

"ป่านนี้ฟิโอน่าจะเป็นอย่างไร ถ้าฟิโอน่าตาย ฉันจะทำอย่างไร"

มันเป็นเพราะฉันคนเดียวแท้ๆ ที่เสนอหน้าออกแบบทริปฮอลิเดย์ครั้งนี้ รู้สึกปวดท้อง และใจมันโหวงๆ เลยบอกเขาว่าเดี๋ยวโทรมาใหม่ เสร็จแล้วก็แอบร้องไห้ กลัว กลัวจริงๆ ทำไงดี ผ่านไป แค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง โทรไปอีก หวังจะได้ยินว่า พวกเขาเจอฟิโอน่าแล้ว แต่.....คำตอบที่ได้ยินมันก็คือคำตอบที่ไม่ได้อยากได้ยินเช่นเดิม คราวนี้เว้นระยะโทรนานๆ หน่อยดีกว่า คำตอบก็ยังเป็นคำตอบที่แย่ๆ เหมือนเดิม "ยัง ยังไม่เจอ" เกลียดตัวเองมากเลย

เว้นระยะนานแล้ว โทรอีกดีกว่า คำตอบยังเหมือนเดิม นี่มันจะเข้าวันที่สามแล้วนะ หากันให้เจอไม่ได้หรือ อยากจะอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะเห็น จะรับรู้ทุกอย่าง และจะได้ทำทุกอย่างที่จะทำได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ โทรครั้งนี้พ่อลิซซี่บอกเขาคุยกับเดวิดแล้ว เรื่องที่เรารู้สึกแย่ รู้สึกผิด เดวิดฝากบอกว่า ห้ามคิดอย่างนั้นเด็ดขาด ชะตาชีวิตของคน และภัยธรรมชาติ นั้นเราไม่อาจควบคุมมันได้ ไม่ได้มีใครผิดทั้งสิ้น

เราจึงขอคุยกับเดวิด อยากจะขอโทษที่ อ่อนแอ และ ขี้ขลาด เดวิดบอกกับเราว่า ทุกคนต้องเข้มแข็งในภาวะแบบนี้ และอยากให้เราเข้มแข็งด้วยเหมือนกัน เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้าใจไหม เขาย้ำอีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟิโอน่า พวกเราต้องพร้อมที่จะยอมรับ และอยู่ต่อไปให้ได้ เพื่อทุกคนที่ยังเหลืออยู่

สุดท้ายเขาบอกกับเราว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขามีความสุขที่ได้อยู่เป็นเพื่อนแท้กับครอบครัวเรา จนในวันนี้...ในยามที่เขาทุกข์ทนเจียนขาดใจ เพราะยังไม่รู้ชะตากรรมของภรรยา เขาก็ยังมีพ่อลิซซี่ และครอบครัวของเราที่เมืองไทยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา

สุดท้ายฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี แม้ว่าจะไม่ใช่กับเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องไปเจอกับภัยอันโหดร้ายแล้วก็ตาม แต่ทว่า....เป็นความรู้สึกผิด ที่ขี้ขลาด อ่อนแอ และดูถูกน้ำใจเพื่อนแท้ต่างหาก......ขอโทษจริงๆ ฉันรู้ว่าเขาจะให้อภัยฉันเสมอ แต่ฉันก็ยังยืนยันที่จะขอโทษ อยู่เสมอ เพราะคำขอโทษและความรู้สึกผิดอันนี้ มันจะเตือนใจให้ฉันไม่ลืมว่า

ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ พวกเราจะเป็นเพื่อนแท้กันตลอดไป.........




บันทึกสึนามิตอนที่9.................. พลังแห่งรัก

เข้าวันที่สาม ทุกคนยังตามหาฟิโอน่าอย่างไม่ย่อท้อ แม้บางคราจะรู้สึกสิ้นหวังกับภาพที่มองเห็นอยู่รอบๆ ตัว ผู้คนที่หลงเหลือรอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ หลายๆ คนได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่อีกหลายๆ คนยังอยู่ อยู่เพื่อจะค้นหา อยู่เพื่อจะรอคอย อยู่เพื่อจะได้พบ แม้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่พวกเขารัก

เพื่อนทุกคนเล่าให้ฟังว่า ในทุกสถานที่ที่ก้าวย่างเข้าไปตามหาฟิโอน่า ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด โรงแรม สถานพยาบาล ศูนย์ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ต่างก็ตกอยู่ในภาวะหัวใจแตกสลายด้วยกันทั้งสิ้น ชาวต่างชาติแต่ละคนส่งภาษาคุยกัน ให้กำลังใจและสร้างความหวังให้กันและกัน

ในขณะที่ชาวบ้านคนไทยหลายคน ส่งสายตาอบอุ่นผ่านมาให้พวกเขาเช่นกัน แม้ว่าจะสื่อสารด้วยภาษาไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี เดวิดนั่งลงสวดภาวนาว่า ขอให้เขาและลูกได้เจอฟิโอน่า เขาพร่ำบอกทุกคนว่า " I will find her" "I do love her and she knows I do"

เขาขอกลับไปที่โรงพยาบาลพังงาในตัวจังหวัดอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ได้ไปมาแล้วสองครั้ง เขาหวังว่าอาจจะมีผู้บาดเจ็บเข้ามาใหม่ และในนั้นอาจมีฟิโอน่ารวมอยู่ด้วย แต่พอทุกคนไปถึง และตรวจสอบรายชื่อผู้บาดเจ็บที่เข้ามาใหม่ก็พบว่า ไม่มีชื่อของฟิโอน่าเช่นเดิม

ทุกคนเตรียมจะกลับไปที่ชายหาดอีกครั้ง แต่เดวิดบอกว่า เขาจะขออนุญาตหมอเข้าไปดูคนไข้หญิงทุกคน แม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อฟิโอน่าก็ตาม พวกเราที่เป็นคนไทยต้องติดต่อประสานงานเข้าไป เป็นเรื่องซับซ้อนอยู่มากทีเดียว แต่ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูได้เฉพาะคนไข้หญิงต่างชาติที่ไม่มีญาติมาเฝ้าเท่านั้น เขาเจอผู้หญิงหลายคน จากหลายประเทศ แต่ก็ยังหาตัวฟิโอน่าไม่เจอ

จนพยาบาลพาไปพบคนไข้หญิงรายหนึ่งที่ให้ชื่อไว้ว่า ซาร่า ซึ่งหมดสติมาตั้งแต่วันแรกที่มีคนนำส่งโรงพยาบาล ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้านหลัง และ ขาด้านขวาหักจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ทันทีที่ทุกคนเปิดม่านเข้าไป พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้านั้น คือ ฟิโอน่า เดวิดโผเข้ากอดภรรยาตัวเอง ขณะที่เธอร้องหาแต่ลูกชายตัวน้อย และดูเหมือนจะยังไม่รับรู้อะไรมากมายนักเนื่องจากอาการช็อค และอาการบาดเจ็บที่ได้รับ

เดวิดรีบเรียกให้เอาแม็กซ์เวลล์เข้ามาหาฟิโอน่าทันที เพื่อให้แม่ลูกได้สัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่นของกันและกัน พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีอะไรต้องทำอีกมากมาย กับอาการบาดเจ็บของฟิโอน่า แต่อย่างน้อยในวันนี้เราก็ได้ิสิ่งที่ดีที่สุด กลับมาแล้ว นั่้นคือ ภาพอันสวยงามของสามคนพ่อแม่ลูก ที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง..............


พวกเราขอส่งใจ ให้ทุกดวงใจที่ต้องสูญเสียในเหตุการณ์สึนามิ และรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน เชื่อว่าความเจ็บปวดยังอยู่ในทุกอณูของหัวใจพวกคุณ แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ



เก็บตกสึนามิ

+++++ในคืนที่คุณยายลิซซี่ต้องดูแลแม็กซ์เวลล์ ด้วยเหตุว่าเดวิดต้องไปเฝ้าฟิโอน่าที่โรงพยาบาลนั้น แม็กซ์เวลล์เกิดร้องไห้หาแม่และพ่อกลางดึก คุณยายนั้นก็ดันพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น แถมล่ามพิเศษ(ลิซซี่) ก็หลับปุ๋ยไปซะแล้ว ก็ได้แต่ปลอบเป็นภาษาไทยไปต่างๆ นานา ภาพคุณยายไทยและหลานฝรั่ง สื่อสารกันด้วยใจกับภาษาใบ้นั้น ช่างน่าประทับใจดีแท้ และในที่สุดแม็กซ์เวลล์ก็หลับไปในอ้อมกอดคุณยายไทยได้โดยไม่ยากนัก..................(วันสุดท้ายที่ครอบครัวเดวิดบินกลับอังกฤษ คุณยายได้ดอกไม้ช่อโตแท

+++++ได้รับกอดอุ่นๆ จากแม่ของฟิโอน่า แทนคำขอบคุณที่ท่านอยากส่งผ่านถึงคนไทยทุกคนที่ช่วยเหลือลูกสาวท่าน

+++++วันแรกที่เจอเดวิดที่อังกฤษหลังสึนามิ เดวิดบอกว่า เฮ้ย ไอ้เพื่อนเกลอ คราวหน้าถ้ายูแนะนำให้ไปเที่ยวไหน ไอจะขอไปอีกที่หนึ่ง เอาให้ห่างๆ ที่ยูเสนอเลย ฮ่า ฮ่าเดวิดเขาล้อเล่นน่ะ(แต่ทำจริง)

+++++ก่อนไปฮอลิเดย์สึนามิ พวกเราสองครอบครัวคุยกันว่า เราจะพาลูกๆ ไปเที่ยวศรีลังกาในปีต่อไป แผนการอันนี้เป็นไอเดียของเดวิดซึ่งก็ได้รับการยกเลิกโดยผู้นำเสนอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

+++++ครอบครัวเดวิดไม่เหลืออะไรติดตัวกันเลย ยิ่งแม็กซ์เวลล์กับฟิโอน่านั้นแม้แต่เสื้อผ้าติดตัวก็ไม่เหลือ คุณยายลิซซี่หยิบเสื้อผ้าที่ดิฉันทิ้งไว้ที่เมืองไทยไปให้ฟิโอน่า ส่วนพี่ชายก็รีบนำเอาเสื้อผ้าของลูกชายมาให้แม็กซ์เวลล์ เมื่อทุึกคนกลับมาถึงอังกฤษแล้ว เดวิดและฟิโอน่าได้ออกปากประจาน เอ้ย ชื่นชมในรสนิยมการแต่งกายของดิฉันว่าเป็นเลิศทางแฟชั่นมั่กมั่ก ก็คุณยายเล่นหยิบเสื้อยืดที่ดิฉันเก็บสะสมไว้เมื่อตอนเป็นสาวๆ มาให้นั่นเอง ประมาณว่าลายที่หน้าอกเป็น วงดนตรีเฮฟวี่เมนทัล Gun n' Roses บางตัวก็เป็นหน้าพี่หงา คาราวานและพรรคพวก(ซึ่งก็หล่อๆ กันทั้งน้าน) เห็นคุณยายแก้ตัวว่าพยายามหาเสื้อยืดที่ตัวโคร่งๆไปให้จะได้ใส่สบาย ส่วนตัวสวยๆ หวานๆ ที่บ่งบอกความเป็นตัวดิฉันนั้น(กรุณาเชื่อด้วยค่ะ) คุณยายมิได้หยิำบไปให้เลย

+++++ขอบคุณ ปอเพื่อนรัก ที่แม้จะยุ่งกับงานมากแค่ไหนก็ยังสละเวลาไปเยี่ยมฟิโอน่าที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯแทนดิฉัน และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ห่วงใยและเสนอน้ำใจช่วยเหลือครอบครัวเดวิดเมื่อตอนย้ายโรงพยาบาลจากพังงามาที่กรุงเทพฯ

+++++ขอบคุณ เพื่อนชาวต่างชาติที่โทรศัพท์เข้ามาถามไถ่ ว่าครอบครัว เพื่อนฝูงของเราที่เมืองไทยปลอดภัยกันดีไหม

+++++ขอบคุณแม้แต่บางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะโทรมาอย่างพ่อแม่ของเพื่อนลิซซี่ทุกคน รวมถึงคุณครูที่โรงเรียน ที่เราแค่ทักทาย ยิ้มหวานให้กันในวันไปโรงเรียน แต่ก็พากเพียรหาเบอร์เราจนเจอ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสำหรับคนไม่มีใจ

+++++ขอบคุณ จิลล์ วิกกี้กับสามี ซิลเวียและเจฟฟ์ ที่สลับกันมารับดิฉันไปอยู่ที่บ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่คนเีดียวในยามว้าวุ่น และทุกบ้านก็ให้ใช้โทรศัพท์ทางไกล ถือเป็น ช่วงโปรโมชั่นสึนามิ ใช้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง!

+++++ขอบคุณพี่ทับทิมคนขายตั๋วเครื่องบินที่ พยายามทุกวิถีทางที่่จะ เอาเงินค่าตั๋วและโรงแรมที่นครวัดนครธมคืน จากบางกอกแอร์เวย์ และพวกเราก็ได้นำไปบริจาคให้ผู้ประสบภัยอีกต่อหนึ่ง ถือว่าพี่เค้าก็ได้บุญกุศลนี้ไปด้วยค่ะ

+++++ขอบคุณพี่ชาย(ตัวเอง) ที่ช่วยเป็นธุระติดตามหาฟิโอน่าให้เหล่าฝรั่งต่างชาติ เห็นว่าบางคืนถึงกับsick หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าอ้วกแตกนั่นเอง(ต้องขออภัยที่ใช้คำไม่ค่อยสุภาพ)

+++++ลิซซี่ยังติดใจการลอยคออยู่ในทะเลของแม็กซ์เวลล์เป็นเวลาหลายชั่วโมงตราบเท่าทุกวันนี้






0 Comments:

Post a Comment

<< Home