Sunday, May 07, 2006

บันทึกน้ำใจหยดแรก...โรงเรียนมิลล์เวอร์ตัน ประเทศอังกฤษ

เวลาล่วงไปกับเจ้าภัยตัวร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย รอยน้ำตา และความเจ็บปวดร้าวราน ของผู้ประสบภัยยังซ่อนตัวอยู่ทุกหลืบอณูของแผ่นดินที่โดนซัดกระแทกจาก คลื่นยักษ์สึนามิ

หากแต่น้ำใจของมนุษย์ที่มีหัวใจดีๆ
ก็ยังไหลหลั่งมาชะโลมใจเพื่อนผู้ประสบทุกข์ภัย
แม้จะไม่ถาโถมมาดั่งแม่น้ำสายใหญ่
เหมือนในช่วงเวลาเมื่อเกิดเหตุใหม่ๆ
แม้เป็นเพียงหยดน้ำใจเล็กๆ ดังเช่น สายฝนปรอยๆ
หรือ อาจเป็นได้เพียงแค่......น้ำค้าง
แต่.....อย่าลืมว่าแม่น้ำสายใหญ่ก็มีวันเหือดแห้งหายไป
หากไม่มีน้ำฝน น้ำค้าง หยดเล็กหยดน้อย ร่วงหล่นมารวมกัน
เพื่อคงไว้ซึ่งแม่น้ำสายใหญ่ให้ยังอยู่........ตลอดไป
************************************
เรื่องราว... น้ำใจของผู้คนมากมายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่ดิฉันประสบพบมาด้วยตนเองในระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ จนถึงวันที่ได้ไปบ้านน้ำเค็มเมื่อ วันศุกร์ที่14 ตุลาคม 2548 และหวังว่าจะยังมีเรื่องราวดีๆ เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่ให้พวกเราได้บันทึกเก็บกันไว้ในหัวใจทุกดวงตลอดไปไม่มีวันหมดสิ้น
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอนที่1

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ มิสซิสเลทแธม คุณครูใหญ่ผู้สวยสง่าแห่ง Milveton ก็มีจดหมายฝากผ่านกับลิซซี่มาให้ดิฉันไปพบ ในทีแรกก็ตกใจ นึกว่าเจ้าลิซซี่ไปตีกับใคร เพราะเห็นบ่นๆ อยู่ว่ามีเพื่อนเกเรในห้องชอบมาแกล้ง ถึงขนาดไปขอร้องพี่แม่ครัวร้านไทยของน้าให้เอาตะหลิวไปตีหัวแก้แค้นซะอย่างงั้นล่ะ เมื่อถึงวันนัดพบ ดิฉันไปก่อนเวลาเล็กน้อย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า คนไทยก็ตรงเวลากับเขาเป็นเหมือนกัน และที่สำคัญหากไปสายแล้วจะเอาเรื่องรถติดมาอ้างแบบตอนอยู่ในกรุงเทพฯก็คงดูกระไรอยู่ เพราะถนนบ้านเขาออกจะโล่งซะขนาดนั้น

มิสซิส เลทแธมแจ้งธุระของการพบกันในวันนี้ว่า อยากคุยเรื่องสึนามิ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือนแล้ว แต่ทุกคนที่โรงเรียนก็ยังไม่ลืมเหตุการณ์นี้ และยังเชื่อว่าผู้ประสบภัยหลายๆ คนยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ หลายๆคนอาจจะค่อยๆลืมเลือนเหตุการณ์ไปทีละนิดทีละนิด ตามระยะเวลาที่ผ่านล่วง แต่ทางโรงเรียนกลับคิดว่า เหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องคอยเข้าไปช่วยเหลือเมื่อตอนเกิดเหตุใหม่ๆ เท่านั้น(ซึ่งจริงๆ ทางโรงเรียนก็ได้จัดเดินการกุศลครั้งใหญ่ช่วยเหลือไปแล้วในปลายเดือนมกราคมหลังเกิดสึนามิใหม่ๆ)

ทางโรงเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนเห็นด้วยว่าในบางจังหวะที่เรื่องราวจางหายลงไปจากความสนใจของผู้คน ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะกับเด็กกำพร้า ซึ่งทุกคนเห็นว่าเป็นปัญหาระยะยาวทั้งทางด้านจิตใจและสภาพความเป็นอยู่ (ทุกครั้งที่นึกภาพลูกสาวตัวเองต้องอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีพ่อแม่คอยปกป้อง มักจะทำให้ดิฉันปวดร้าวเข้าไปในหัวใจและเข้าใจความรู้สึกเด็กๆ เหล่านั้นได้อย่างไม่ยากนัก)

สมาคมผู้ปกครองและครูลงความเห็นกันว่าทางโรงเรียนมีเด็กไทยบ้องแบ๊วอยู่หนึ่งคน นั่นคือลิซซี่ จึงตัดสินใจว่าอยากเข้ามาช่วยเหลือเด็กกำพร้าในประเทศไทยก่อน(ถือเป็นการให้เกียรติเราสองคนแม่ลูกเป็นอย่างมาก) เพราะด้วยแรงกำลังของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งคงทำอะไรให้ผู้ประสบภัยไม่ได้ครบทุกคน ซึ่งดิฉันก็ได้บอกมิสซิสเลทแธมไปว่า แค่พวกเขาคิดที่จะช่วยเหลือ แม้จะเป็นแค่บางส่วน มันก็ทำให้ชีวิตหลายๆคน ย่อมถูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ดีกว่าที่เราจะไม่ทำอะไรกันเลยในวันที่เราพอมีกำลังหรือพอแบ่งปันกันได้

ขออนุญาตเพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษนิดหน่อยในสิ่งที่ดิฉันได้บอกทางโรงเรียนไปเนื่องจากบางทีภาษาอังกฤษบางคำก็บ่งบอกอะไรได้มากมายกว่าที่จะบรรยายได้ในภาษาไทย "we appreciate very much for your nice thought.It doesn't matter how much you will give.At least, it will make different for somebody's life."แค่ในตัวอักษรเข้มนี่หล่ะค่ะที่อยากสื่อออกมา คงไม่ว่ากันนะคะ

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.......Milverton ตอนที่ 2

หลังจากทราบจุดประสงค์ของมิสซิสเลทแธม คุณครูใหญ่ที่โรงเรียนลิซซี่แล้ว ดิฉันก็ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กกำพร้าที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปในเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ง่ายอย่างที่คิด เริ่มต้นด้วยการโทรหาเพื่อนทุกคนเท่าที่จะติดต่อได้ ทุกคนก็แนะนำให้บริจาคผ่านสภากาชาด แต่ทางโรงเรียนบอกว่า เคยบริจาคผ่านสภากาชาดไปแล้ว ตอนจัดงานเดินการกุศล ครั้งนี้พวกเขาอยากจะบริจาคโดยตรงให้กับเด็กกำพร้า

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาต้องการให้เด็กๆ นักเรียนที่โรงเรียนเขียนจดหมายไปให้เด็กกำพร้าที่เขาหลัก ด้วยหวังให้พวกเขาได้รับรู้ว่า พวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเี่ดี่ยวลำพัง หากแต่ยังมีสายใยสัมพันธ์ของเพื่อนจากแดนไกลคอยส่งกำลังใจและฝากความรู้สึกห่วงใยมาให้อยู่เสมอ นอกจากนี้คุณครูใหญ่ยังขอให้ดิฉันกับลิซซี่ช่วยเดินทางไปที่เขาหลักเพื่อเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการมอบเงินช่วยเหลือ จดหมาย และสิ่งของที่จะบริจาคทั้งหมดด้วย

ณ เวลานั้น หัวใจของดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบไปด้วยความยินดีและซาบซึ้งในความปรารถนาดีของเพื่อนมนุษย์ต่างเผ่าพันธ์เป็นยิ่งนัก "การให้" ของพวกเขามิใช่เป็นเพียง แค่ความช่วยเหลือในด้านวัตถุเท่านั้น แต่พวกเขายังตระหนักและห่วงใยในเรื่องของจิตใจเด็กน้อยเหล่านั้นด้วย ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ประมาณค่าไม่ได้เลยและเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก

_________________________
เด็กน้อยผมทอง
บรรจงจรดปากกา..
ลงบนกระดาษสีขาวบริสุทธิ์
เพื่อส่งใจให้เพื่อนตัวน้อย
ที่อยู่ในแดนไกลและหัวใจยังร้าว
สองดวงใจแม้อยู่ไกลกัน
แต่กระดาษแผ่นนั้น
จะแปรผันความไกล
ให้กลายเป็นใกล้
ฝากใจไปรักษา
ด้วยหวังว่า..........
อีกดวงใจจะคลายเจ็บ
___________________________

และเมื่อคุณครูใหญ่ถามดิฉันว่า จะเป็นการสร้างความลำบากให้ดิฉันหรือเปล่า ในการที่จะต้องไปหาข้อมูลทั้งหลาย รวมถึงการเดินทางไปเขาหลักแทนพวกเขา ดิฉันรีบตอบออกไปโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ว่า..........."No problem at all,It is a big honour for me and I am more than happy to do that for you all"


น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอนที่ 3

Milverton House Preparatory School คือชื่อเต็มของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ที่เข้มงวดทางด้านการเรียนการสอน รวมถึงระเบียบวินัยของนักเรียนเป็นที่สุด แค่การจดจำเรื่องเครื่องแบบนักเรียนของลิซซี่ ดิฉันก็พาลจะลมจับแล้วค่ะ

จำได้ว่า ในหนึ่งปีมีสามยูนิฟอร์ม ได้แก่ วินเทอร์ ออทั่ม และซัมเมอร์ ในหนึ่งยูนิฟอร์มยังแบ่งย่อยไปตามวันที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนเช่น วันประชุมต้องใส่สูทรของแต่ละฤดูกาล วันที่มีคลับหลังเลิกเรียน ต้องใส่ชุดให้เข้ากับคลับที่จัดไว้ึ ชุดพีอี(พลศึกษา) ก็แตกต่างกันในแต่ละฤดู รองเท้ามีสี่แบบ ต้องจำให้ได้ว่าอันไหนใส่กับยูนิฟอร์มไหน โอเวอร์โค้ท มีสองแบบ แถมยูนิฟอร์มกันฝน และหมวกต่างๆ ตามฤดูกาล

นอกจากนี้นักเรียนหญิงยังต้องติดกิ๊บกับโบว์เฉพาะที่เป็นสีขาวกับสีน้ำเงินหรือฟ้าเท่านั้น เพื่อให้เข้ากับเครื่องแบบทุกฤดู แรกๆ ดิฉันก็นึกว่าหมูในอวยค่ะ ใช้จำเอาตอนคุณครูผู้ปกครองเรียกไปประชุม ปรากฎว่า อาทิตย์แรกที่ลิซซี่ไปโรงเรียน อย่างน้อยต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งผิดกลับมา จนคุณครูฝ่ายปกครอง(ซึ่งเหมือนนายทหารหญิงคุมกองทัพยังไงบอกไม่ถูก)เรียกกระเหรี่ยงอย่างดิฉันไปตักเตือนก่อนที่จะลงโทษเด็ก คราวนี้อิฉันจำต้องพกกระดาษและปากกาไปจดยิกๆ เลยค่ะ และทุกๆเช้าหลังจากวันนั้น เราสองคนแม่ลูกก็หยิบโพยขึ้นมาประกอบในการแต่งตัวกัน จนในที่สุดเราทั้งสองก็เป็นมือโปรและไม่ต้องอาศัยโพยนั้นอีกต่อไป

การที่โรงเรียนมีนโยบายเข้มงวดเรื่องการแต่งกายนั้น ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อฝึกนักเรียนให้เคารพในกฏระเบียบและ เป็นการฝึกวินัยขั้นพื้่นฐานให้เด็กๆ ดูแลรับผิดชอบตัวเองด้วย และนอกจากนี้ยังเข้มงวดเรื่องมารยาททางสังคม และความตั้งใจเรียนของเด็กๆ ด้วย ไม่ได้เน้นว่าต้องเก่งหรือฉลาด แต่จะปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบและเช็คความเอาใจใส่ในการเรียนมากๆ

คุ้นคุ้นไหมค่ะว่าเหมือนระบบที่ไหนเอ่ย.......ก็โรงเรียนบ้านเราสมัยตอนดิฉันละอ่่อนอยู่นะสิคะ(ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันแล้ว) หลายๆ โรงเรียนที่บ้านเราจะมีคุณครูฝ่ายปกครองคอยดูแล ตรวจตรา การแต่งกาย ผมเผ้า ให้อยู่ในกฎระเบียบของโรงเรียนเป็นที่สุด ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเลียนแบบวัฒนธรรมหรืออะไรต่อมิอะไรของฝรั่งเค้ามากนัก หลายๆ อย่างที่เราทำ ที่เรามี อาจดีอยู่แล้ว

เกริ่นมาซะยาว ก็แค่จะเข้าเรื่องว่า วันที่น่าตื่นเต้นของเด็กๆโรงเรียนนี้ ก็คือวันที่เรียกกันว่า non-uniform day ซึ่งดิฉันแปลเอาไว้ในพจนานุกรมส่วนตัว ว่าวันปล่อยผี(เด็กน่ารัก) เพราะทุกคนได้อิสระเต็มที่ในการแต่งกาย ไม่ต้องกังวลเรื่องระเบียบวินัยใดๆ ทั้งสิ้น ได้ถือกระเป๋าไปโรงเรียน กับชุดเท่ห์ๆ ของใครของมัน บางวาระของ non-uniform day ก็อาจต้องเรียนหนังสือ บางวาระก็ไม่ต้องเรียน เพราะโรงเรียนจัดงานรื่นเริงให้

ซึ่งวันพิเศษนี้ หนึ่งปีจะมีซักประมาณสองถึงสามครั้ง และในจำนวนหนึ่งครั้งของปีนี้นั้น ก็ช่างเป็นวันพิเศษสำหรับเราสองคนแม่ลูกนัก เพราะทางโรงเรียนประกาศให้มี non-uniform day เพื่อเด็กกำพร้าสึนามิในประเทศไทย และร่วมระลึกถึงเหยื่อผู้ประสบภัยในทุกประเทศด้วย

รายละเอียดของงานจะมาบันทึกในคราวหน้า วันนี้ขอตัวไปแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเราแสนสุขใจก่อนนะคะ (อีกสามวันจะได้ทานส้มตำกับเพื่อน และน้ำพริกปลาทููฝีมือแม่ซะที....wont be long!)

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ.....Milverton ตอน4

ก่อนวันงาน non-uniform เพื่อเด็กกำพร้าสึนามิในประเทศไทยนั้น คุณครูใหญ่ขอพบดิฉันอีกครั้งหนึ่ง เธอถามดิฉันว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมให้เด็กๆที่เขาหลักบ้าง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ บ้าง ดิฉันคิดเรื่องนี้อยู่ในใจแล้ว จึงรีบตอบทันทีว่า น่าจะเป็นหนังสือ แต่ขอเน้นให้เป็นหนังสือเด็กเล็กมากหน่อย เนื่องจากเด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษช้ากว่าเด็กที่นี่เยอะมาก ยิ่งโดยเฉพาะแต่ละโรงเรียนที่เขาหลักซึ่งเป็นโรงเรียนต่างจังหวัด เข้าใจว่าอาจต้องการหนังสือที่เข้าข่ายสีสันสวย รูปภาพสะดุดตา น่าสนใจ และเป็นอะไรที่อ่านง่าย นั่นจะทำให้เด็กสนใจอยากอ่าน และเรียนรู้ภาษาอัีงกฤษมากขึ้น

และหากผู้ปกครองคนใดอยากเพิ่มเติมสิ่งของอย่างอื่น ก็น่าจะเป็นของเล่นประเทืองปัญญาทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าไม่ใช้แล้ว ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้นขอให้งดไป(เพื่อการประหยัดน้ำหนักในการขนส่ง) เนื่องจากมั่นใจว่าชาวไทยได้ช่วยเหลือเรื่องนี้กันอย่างเต็มที่แล้ว

หลังจากนั้นตอนเย็นพอลิซซี่กลับจากโรงเรียนดิฉันก็ได้รับจดหมายจากโรงเรียนถึงผู้ปกครองทุกคนว่า ขอให้ผู้ปกครองทุกคนให้เงินเด็กๆ มาโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องมากแต่ขอให้นำมาอย่างน้อยคนละ หนึ่งปอนด์ เพื่อทำกิจกรรมในการบริจาคให้เด็กกำพร้า และทางสมาคมผู้ปกครองจะจัดคอนเสิร์ตสมทบทุนสนับสนุนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ในเนื้อความของจดหมาย ยังระบุเรื่องการขอบริจาคหนังสือตามสเปคที่ดิฉันขอไปด้วยอีกต่างหาก

ขออนุญาตบอกกล่าวเพิ่มเติมตรงนี้ว่าหนังสือที่ได้รับบริจาคมาทั้งหมดนั้นเป็นหนังสือที่ดี มีคุณภาพ ผู้ปกครองบางท่านถึงกับลงทุนไปซื้อหนังสือใหม่มาให้ก็มี และเมื่อดิฉันนำไปให้ทางโรงเรียนที่เขาหลัก คุณครููได้บอกดิฉันว่า หนังสือเหล่านี้จะทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนและเด็กๆ อย่างมากทีเดียว และต่อให้ไม่เกิดสึนามิ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสหนังสือดีๆ เหล่านี้ เพราะอย่างที่เราก็ทราบๆ กันดีอยู่แล้วว่า บ้านเราขาดความเท่าเทียมกันในด้านการศึกษาขนาดไหน โรงเรียนเองก็คงไม่มีงบประมาณจะจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้เด็กๆ ได้เท่าที่ควร

และที่ดิฉันปลาบปลื้มมากที่สุดคือ เมื่อวันที่ดิฉันได้นำเงิน สิ่งของและหนังสือไปบริจาคที่โรงเรียนบ้านน้ำเค็มนั้น เป็นวันที่ห้องสมุดซึ่งสมเด็จพระเทพฯประทานสร้างให้โรงเรียนเสร็จพอดี คุณครูใหญ่และนักเรียนดีใจมากและช่วยกันเก็บเข้าห้องสมุด ให้นักเรียนทุกคนได้มีโอกาสอ่านโดยทั่วถึง และหลายๆ เล่มก็จะนำไปใช้ในการสอนด้วยเช่นกัน

งานนี้ลิซซี่ดีใจเพราะมีชื่อตัวเองอยู่ในจดหมายด้วย ระบุว่าลิซซี่จะเป็นตัวแทนพวกเขาไปพบเด็กนักเรียนที่เขาหลัก

บรรยากาศวันงานจะเป็นอย่างไร ติดตามในบันทึกหน้าค่ะ

น้ำใจ(ยังอยู่)สู้ภัยสึนามิ......Milverton ตอนจบ

non-uniform day"เพื่อเด็กกำพร้าไทยในเหตุการณ์สึนามิ"

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ณ โรงเรียนMilverton ประเทศอังกฤษ

เด็กๆ แต่งตัวกันมาน่ารักไปหมด หวาน เปรี้ยว เฮี้ยว ซ่าส์ ว่ากันไปชุดใครชุดมันตอนเช้ามีเรียนครึ่งวัน งานเริ่มตอนพักเที่ยงมีการจัดนิทรรศการรำลึกถึงผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิเห็นเด็กหลายๆ คนแสดงความสงสาร เมื่อยืนดููรููปที่บอร์ดได้ยินเสียงน้อยๆ พูดแผ่วๆ เต็มไปหมดหน้าลานนิทรรศการ

......"oh dear" "oh dear" "oh dear"
............."poor him" "poor her" "poor them"
.............."so sad" "so sad" "so sad"........

คุณครูจัดดิสโก้เธคให้ที่โรงเรียนดิฉันและพ่อแม่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ไปถึงตอนบ่ายแก่ๆ ประมาณว่าเด็กๆ สนุกสนานกันมาครึ่งทางแล้ว

คุณครููใหญ่ขึ้นมาประกาศว่า มีรายการพิเศษคือ ในวันนี้ใครอยากให้คุณครููฝ่ายปกครองขึ้นมาิแดนซ์กระจายบนเวทีบ้าง เด็กๆ ยกมือกันใหญ่ คุณครููใหญู่บอกเงื่อนไขว่า เด็กๆ ต้องทำการหย่อนสตางค์ใส่กระป๋องให้ได้ตามค่าตัวที่คุณครูููฝ่ายปกครองเรียกมาและคุณครููจะนำไปบริจาคเพื่อเด็กกำพร้านักเรียนวิ่งแจ้นไปหย่อนสตางค์กันใหญ่คงรอคอยวันที่คุณครูู(ที่ดุ และห้าว ยังกับทหารหญิง)ต้องแปลงกายมาเป็นแดนเซอร์สาวเมื่อคุณครููขึ้นไปวาดลวดลายสุดสวิงบนเวที เด็กๆ ก็ได้เฮสมใจ

ครานี้ก็เป็นคราวของครููใหญ่ที่ต้องโชว์บ้าง เด็กๆ ได้เฮอีกครั้งเมื่อคุณครููแปลงกายเป็นนักร้องสาวแห่งวง
แบลคอายส์พีส์ และมีคอรัสเป็นครููหนุ่มสามคน

เจ้าของโรงเรียนมิสเตอร์ คริส เบดแฮมมาปรากฎตัวตอนท้ายขึ้นร้องเพลง เล่นกีตาร์ เพื่อขอเงินบริจาคอีก เด็กๆ หัวเราะชอบใจกันตลอดที่มีคุณครูขึ้นไปโชว์การแสดงต่างๆ ให้ดู และสนุกสนานกันไปตามประสาวันปล่อยผี(เด็กน่ารัก)สงสารก็แต่คุณครููทุกคนที่ยอมเปลืองตัว ลงทุนกันน่าดูู เพื่อให้ได้เงินบริจาคมากที่สุด

หลังจากนั้น คุณครูใหญ่ขอเบรคความสนุกและขึ้นไปบนเวทีพร้อมประกาศให้นักเรียนทุกคนระลึกถึงผู้ประสบภัย

ครูใหญ่บอกว่า พวกเธอนั้นแสนโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยให้ความอบอุ่น ปกป้องดูแลพวกเธอมีความสนุกสนาน สะดวกสบายในวันนี้ได้เพราะมีพ่อแม่คอยจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้ในขณะที่มีเด็กอีกมากมายในโลกนี้ที่ต้องอยู่ อย่างโดดเดี่ยวลำพังแค่ความสุขใจสักเล็กน้อยสำหรับพวกเขา ก็คงหามาได้ยากนักพวกเขาคงไม่หวังอะไรมากไปกว่าการได้อ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่กลับคืนมาแต่......มันจะเป็นไปได้อย่างไร พวกเขาก็คงต้องอยู่กันต่อไป ขอให้พวกเรานึกภาพ การอยู่ต่อไปของพวกเขาว่าจะยากแค้นทั้งกายใจอย่างไร

เมื่อพวกเราจินตนาการ ถึงความเจ็บปวดและความลำบากของพวกเขาได้แล้วพวกเราก็คงพร้อมที่จะให้เท่าีที่จะให้ได้ ใช่หรือไม่ถึงตอนนี้ดิฉันได้ยิน ทั้งผู้ปกครองและนักเรียนประสานเสียงออกมาพร้อมกันอย่างนุ่มนวลแต่มีพลัง ว่า "ใช่"

เมื่องานเลิกทุกคนหอบหนังสือสวยๆ ดีๆ มาให้ดิฉันเพื่อนำไปให้หลายๆโรงเรียนที่มีนักเรียนกำพร้าอยู่ พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนเข้ามาคุยด้วยน้ำใจไมตรีส่วนใหญ่จะเข้ามาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเด็กๆ เข้ามารุมล้อมถามไถ่ ว่าคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง หลังเวลาอันเลวร้าย(อืม รู้สึกเหมือนเป็นนางสาวไทยยังไงบอกไม่ถููก ทั้งที่หน้าไม่ให้ แต่บรรยากาศพาไปซะได้)

จำได้ว่าทุกคนเข้ามาร่ำลาดิฉัน บ้างก็หอมซ้ายหอมขวา บ้างก็แตะไหล่ บ้างก็สัมผัสมือ ในขณะที่กล่าวถ้อยคำคล้ายๆ กันว่า "ฝากความรัก ความเห็นใจและพลังใจไปให้เด็กกำพร้าและผู้สูุญเสียชาวไทยทุกคนด้วย พวกเรารู้ดีว่าทุกคนเจ็บปวด"

อบอุ่นและซาบซึ้งใจแทนคนไทยมากๆ ไม่รู้ว่า จะส่งผ่านความรู้สึกนี้ถึงคนไทยคนอื่นๆ ได้อย่างไรในขณะนั้น แต่อย่างน้อย ณ เวลานี้ก็คงจะมีเพื่อนบ้านใน mblog บางส่วนได้เข้ามารับรู้อยู่บ้าง


ขอบคุณที่สละเวลากวาดสายตามารับความอบอุ่นและน้ำใจหยดเล็กๆ แต่เชื่อว่ายิ่งใหญ่ในหัวใจพวกเรา เป็นความอบอุ่นและน้ำใจไมตรีที่เพื่อนร่วมโลกในอีกมุมหนึ่งที่ห่างไกลฝากมาให้คนไทยค่ะ

1 Comments:

Blogger sawanya said...

Dear K.Nataya,
This is the first time that I read your blog (also the first time that I read blog in manager.com). Firstly I just click and see the pics of Bath (the city where I live now) which make me read your blog. I like the style of your writing which made the reader want to continue to read. And also I appreciated the good things that you made for the poor tsunami people.
Sawanya

9:24 AM  

Post a Comment

<< Home